เผยแพร่ |
---|
ปังเจริญ อาชีพเสริมวันเสาร์ของมนุษย์ออฟฟิศ ขายปังหน้าบ้าน 1,000 ก้อน คว้าเงินหมื่นใน 2 ชั่วโมง
“เราตั้งใจกันตั้งแต่แรกว่าจะไม่หารายได้แค่ช่องทางเดียว เพราะการหารายได้จากหลายช่องทางจะช่วยบาลานซ์ความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราเลยต้องทำธุรกิจอะไรสักอย่างเป็นของตัวเอง”
คำบอกเล่าของ คุณฟิว-เกศราภรณ์ จันทรังษี วัย 25 ปี เธอเริ่มสร้างธุรกิจร่วมกับ คุณโบ๊ท-ศิริพงษ์ คงถาวรกุล แฟนหนุ่มรุ่นเดียวกัน โดยเริ่มขายชามเซรามิกตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย สู่ร้าน “ปังเจริญ” ขนมปังปิ้งเตาถ่านที่ใช้ทำเลหน้าบ้านเป็นหน้าร้าน เปิดขายเฉพาะวันเสาร์ ประมาณ 2 ชั่วโมง สามารถสร้างรายได้ถึงหลักหมื่นบาท

จุดเริ่มต้นของ “ปังเจริญ”
คุณฟิวและคุณโบ๊ทเข้าเรียนคณะบัญชี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ด้วยกัน ทั้งคู่ช่วยกันเรียนจนจบเกียรตินิยมอันดับ 1 ขณะเดียวกันก็ช่วยกันทำธุรกิจขายชามเซรามิกควบคู่จนมีรายได้หลักแสนบาท
จากนั้นเมื่อทำงานประจำด้านออดิท ทั้งคู่ยังช่วยกันหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่ม โดยอยากทำธุรกิจส่วนตัวที่สามารถทำควบคู่งานประจำในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ได้
ซึ่งเธอเลือกทำธุรกิจขนม ซึ่งมีสเกลเล็กกว่าการทำธุรกิจอาหาร อีกทั้งยังตอบโจทย์เรื่องความชอบ สกิลการทำขนมที่มีติดตัว การตั้งร้านและปิดร้านที่สะดวกรวดเร็ว รวมทั้งสามารถขายแค่วันเสาร์วันเดียวได้

แม้จะรู้อยู่แล้วว่าในตลาดมีผู้ประกอบการทำธุรกิจร้านขนมปังกันมากมาย ทั้งร้านเล็ก ร้านใหญ่ แบรนด์ดัง แต่คุณฟิวกับคุณโบ๊ทก็ยังเชื่อมั่นในตัวเองว่าสามารถทำได้
“เราแทบไม่ได้มองคู่แข่งเลยว่าใครขายบ้าง เราโฟกัสแค่ตัวเองว่าอยากทำก็คือทำ ถ้ามองคู่แข่งปุ๊บ เราจะด้อยค่าตัวเองทันที คู่แข่งเยอะแล้วจะเอาอะไรไปสู้เขา จะไหวเหรอ คนขายกันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว”
ในช่วงเริ่มต้น คุณฟิวจึงโฟกัสแค่ลูกค้าในซอยลาซาล 3 เป็นกลุ่มแรก ซึ่งทำเลนั้นคือหน้าบ้านของอาคารพาณิชย์ของครอบครัวคุณโบ๊ท ซึ่งในทุกวันจะเปิดร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง และในทุกวันเสาร์ช่วงเย็นจะเปิดร้านปังเจริญ

สูตรเด็ดความอร่อยของ “ปังเจริญ”
รูปแบบเมนูของปังเจริญคือขนมปังปิ้งบนเตาถ่าน และเน้นความเป็นไทยในตัวซอสสังขยา ร่วมกับซอสครีมนมสดที่ทุกลูกค้าเจเนอเรชันชอบทาน
ในการทำซอสขนมปัง แม้คุณฟิวจะมีสกิลพื้นฐานติดตัวมาบ้าง แต่ถ้าจะทำให้แตกต่าง และมีความพิเศษมากขึ้น เธอจึงเริ่มศึกษาเพิ่มเติม พร้อมใช้เวลาทุกเย็นหลังเลิกงานมาพัฒนาและทดลองสูตร
“กว่าจะเปิดร้านได้เราผ่านความยากลำบาก ความพยายามมาเยอะเหมือนกัน เราใช้เวลาร่วมครึ่งปีในการเทสต์สูตรซอสสังขยา ครีมนมสด เทสต์เมนูกันไม่รู้กี่รอบ มีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ ทำมาแล้วแทบจะกินไม่ได้ก็มี แต่ก็ทำไปเรื่อยๆ จนได้ซอสเนื้อเข้มข้น รสชาติหวานน้อยไม่แสบคอ
รสชาติสำคัญมากนะ เพราะไม่ว่าทำเลดีแค่ไหน ถ้าของไม่อร่อยก็ขายไม่ได้ และจะขายได้ก็ต้องมีความยูนีก ถ้าเราไปซื้อซอสสำเร็จรูปมาขาย ทุกคนก็หาซื้อได้ตามร้านทั่วไป เราเลยเลือกที่จะพัฒนาสูตรซอสเอง
เราตื่นแต่ตี 5 หรือ 6 โมงเช้า มาเตรียมวัตถุดิบกวนซอส ทั้งปั่นใบเตย ทั้งกวนซอสครั้งละหม้อเล็กๆ เพราะทำในครัวคอนโด พื้นที่ค่อนข้างจำกัด เลยใช้หม้อใบใหญ่ไม่ได้ กว่าจะแล้วเสร็จก็ช่วงบ่ายโมงกว่า”

นอกจากทำซอสเองแล้ว ขนมปังของร้านปังเจริญ ก็ไม่ได้ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าทั่วๆ ไป แต่เลือกสั่งผลิตแบบ OEM ตามสูตรที่ทางร้านอยากได้ ทั้งเทกซ์เจอร์ที่มีความนุ่มฟู ไซซ์ใหญ่ใส่กล่องแล้วดูน่าทาน และไม่ใส่สารกันบูด โดยจัดส่งสดใหม่ทุกวันเสาร์ประมาณ 1,000 ก้อน

ขายวันเดียวแต่รายได้ปัง
ปังเจริญ เปิดร้านทุกวันเสาร์เท่านั้น ตั้งแต่เวลา 5 โมงเย็น และเก็บร้านไม่เกิน 1 ทุ่ม ขนมปังที่จัดส่งมาจำนวน 1,000 ก้อน จะสามารถขายหมดในเวลาไม่เกินนี้ จากการอุดหนุนของลูกค้าประจำที่มากันทุกวันเสาร์
“การเปิดร้านแค่วันเดียว ทำให้ลูกค้าคิดถึงเรา ไม่ได้เบื่อเราขนาดนั้น แต่ถ้าเปิดทุกวัน อาจจะนานๆ มากินที เพราะคิดว่ายังไงเราก็เปิดอยู่ตลอด ไม่ได้โหยหาขนาดนั้น”
ในการเปิดร้านวันแรกคุณฟิวกับคุณโบ๊ทช่วยกันทำ 2 คน จากนั้นสัปดาห์ที่สองเริ่มมีคุณแม่แฟนมาช่วยอีกหนึ่งแรง และถัดไปอีกสัปดาห์เริ่มจัดหาพนักงานเพื่อการรันคิวที่ต่อเนื่อง
“เราให้พนักงานช่วยกันรับมือกับออร์เดอร์ที่เข้ามาจำนวนมาก ลูกค้าจะได้รอไม่นาน ตอนนี้รอคิวนานสุด 15 นาที ที่ต้องใช้เวลาเพราะเราใช้เตาถ่านในการปิ้งขนมปัง ซึ่งลูกค้าหลายท่านเข้าใจ ที่ไม่เปลี่ยนเป็นเตาไฟฟ้าเพราะจะมีความหอมมากกว่า”
สำหรับเมนูซิกเนเจอร์ที่ลูกค้าสั่งกันเป็นประจำคือ เมนูขนมปังปิ้งราดซอสครีมนมสดสตรอเบอร์รีครัมเบิล รสชาติของผลไม้จะช่วยตัดความหวานละมุนของซอส และเพิ่มเทกซ์เจอร์ความกรอบด้วยครัมเบิล

และเมนูของร้านปังเจริญก็ขายในราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นชิ้นละ 10 บาท
“เราตั้งใจตั้งราคาที่ลูกค้าซื้อได้ง่าย และเราซื้อได้ด้วย เพราะจริงๆ เราไม่ใช่คนทานอาหารติดแกลม หรือราคาแพง เลยขายเริ่มต้นชิ้นละ 10 บาท เป็นขนมปังก้อนเล็ก ด้านในใส่วิปปิ้งครีมที่เราตี ท็อปด้วยสตรอเบอร์รี 1 ชิ้น ซึ่งผลตอบรับดีมาก ทำให้ร้านเราไวรัลในติ๊กต็อก
หลายคนถามขายราคานี้ได้กำไรจริงเหรอ อย่างที่บอก เราไม่มีค่าเช่าที่ ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากของการทำธุรกิจและเป็นต้นทุนคงที่ที่ต้องจ่ายทุกเดือน พนักงานเราก็ไม่ได้เยอะ ทำให้เราก็สามารถขายราคาสบายกระเป๋าได้” คุณฟิว อธิบายเสริม
ในส่วนของรายได้ จากการเปิดร้านเฉพาะวันเสาร์ ขายประมาณ 2 ชั่วโมง ร้านปังเจริญสามารถสร้างรายได้ถึงหลักหมื่นบาท ซึ่งหักค่าใช้จ่ายแล้วยังอยู่ในหลักหมื่นบาท

คอนเทนต์ คือการตลาด
เมื่อถามย้อนไปถึงการเปิดร้านวันแรก คุณฟิว บอกว่า ลูกค้ายังไม่ได้รู้จักร้านของเธอขนาดนั้น จึงใช้วิธีการทำคอนเทนต์ลงในโซเชียลมีเดียอย่างติ๊กต็อก อินสตาแกรม หรือ Reels
ซึ่งก็ยังไม่แมสมากในช่วงแรก แต่อาศัยความเพียรพยายามในการทำไปเรื่อยๆ จนมีจังหวะที่คอนเทนต์เริ่มได้รับความนิยม หลังจากนั้นคอนเทนต์อื่นๆ ที่ทำไปก็จะได้รับความนิยมตามไปด้วย
“เป็นความพยายามของเราที่ไม่หยุดทำคอนเทนต์ เพราะเชื่อว่าการสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ เป็นการตลาดศูนย์บาท ถ้าทำได้ถือเป็นความโชคดีของร้านร้านนั้น
ตอนนี้เราเปิดร้านมาครบ 1 ปี เราภูมิใจมากที่ไม่ได้ใช้เงินสักบาทในการทำการตลาด เราเห็นถึงพลังของการบอกต่อจากลูกค้า เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าทำการตลาดใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ธุรกิของเราเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องใช้เงินมหาศาล ไม่ต้องรวยก็ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้”

1 ปีของการเติบโต ขอทำสองอาชีพควบคู่
จากการเติบโตของปังเจริญ ไม่ได้ทำให้คุณฟิวและคุณโบ๊ทอยากปล่อยมือจากงานประจำ เพราะทั้งคู่ยังมองว่า การมีรายได้จากหลายช่องทางจะช่วยบาลานซ์ความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในชีวิต
“การขายของมีขึ้นมีลง ไม่ได้มั่นคงเท่างานประจำที่ทำอยู่ เราเลยไม่อยากทิ้งงานประจำมารับความเสี่ยง เราทำเพราะความชอบ ทำด้วยความมีแพชชัน ทำเพราะมีความสุข เลยไม่รู้สึกเหนื่อยถ้าต้องทำ 2 งานควบคู่กัน และไม่ว่าจะเจอปัญหาอุปสรรคอะไร เราก็พร้อมแก้ไขให้ผ่านไปได้
ทุกคำชื่นชมของลูกค้าเป็นกำลังที่ยิ่งใหญ่ของเราจริงๆ ทำให้เรามุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพและการบริการให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เราไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นคนขายสินค้า แต่เราเป็นคนขายประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า
และสำหรับใครที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจ คิดแล้วให้ทำเลย มัวแต่รอจะเสียดาย ไม่ต้องกังวลว่าจะขายได้ไหม จะสู้คู่แข่งได้หรือเปล่า คิดแบบนี้ก็แพ้แล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จให้มองเป็นประสบการณ์ ถ้าสำเร็จให้มองว่าเรามาถูกทางแล้ว” คุณฟิว กล่าวทิ้งท้าย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567