เผยแพร่ |
---|
“กะเพราขุนช้าง” จากครัวเล็กๆ สูตรเด็ดของแม่ สู่แฟรนไชส์ 47 สาขา ยอดขายหลักล้านต่อเดือน!

กะเพรา เป็นเมนูที่ใครหลายคนชื่นชอบ อีกทั้งยังหาทานง่าย ทำเองก็ไม่ยาก ทำให้กะเพราสูตรของแต่ละคนมีรสชาติที่แตกต่างกัน อีกทั้งแต่ละร้านก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้เมื่อทานเข้าไปแล้วจะรู้สึกถึงความแตกต่าง

และบางร้านอาจจะให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปกินข้าวที่บ้าน โดยเฉพาะร้าน “กะเพราขุนช้าง” ที่มีเจ้าของคือ คุณณัฏฐ์ กีรติเก้าทรัพย์ จุดเด่นของร้านนี้อยู่ที่น้ำซอสกะเพรา ที่มีรสชาติไทยเดิม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพร สูตรเด็ดจากคุณแม่ โดยเริ่มต้นจากครัวเล็กๆ ในบ้าน ด้วยรสชาติที่อร่อยทำให้ลูกค้าชื่นชอบและสั่งผ่านดีลิเวอรีอย่างล้นหลาม มีไรเดอร์มาจอดรอหน้าร้านอย่างเนืองแน่น จนสามารถขยายสาขาได้ถึง 47 แห่งทั่วประเทศ และสามารถสร้างยอดขายได้สาขาละ 20,000 บาทต่อวัน
จุดเริ่มต้นจากครัวเล็กๆ สู่ธุรกิจแฟรนไชส์
คุณณัฏฐ์ เล่าว่า จุดเริ่มต้นเกิดจากที่เขาชื่นชอบทานกะเพราที่คุณแม่ทำอยู่แล้ว และเมื่อลองไปทานกะเพราร้านอื่น ก็จะนึกถึงว่าไม่มีร้านไหนที่รสชาติเหมือนที่คุณแม่ทำ จึงคิดต่อยอดนำสูตรกะเพราของคุณแม่มาพัฒนาต่อ ส่วนเรื่องของเงินลงทุน วันแรกที่คิดจะทำ ตอนนั้นเขาไม่ได้ใช้เงินลงทุนเพิ่มเลยสักบาท เนื่องจากว่านำของที่มีอยู่แล้วมาทำขายก่อน เมื่อขายดีจึงต่อยอดเปิดหน้าร้าน
เริ่มจากครัวเล็กๆ ทำแจกคนในหมู่บ้านก่อน และเปิดหน้าร้านสาขาแรก อยู่ที่ ท่าข้าม พระราม 2 ทำการขายผ่านแอปดีลิเวอรีด้วย
เขาเล่าต่อว่า “ยอดขายวันแรก จริงๆ ประมาณ 200-300 บาท แต่เราก็คิดว่า 300 เดือนหนึ่งก็ 10,000 แล้ว”
ต่อมาในช่วงวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทำให้สาขาท่าข้าม ต้องเปิดขายผ่านแอปดีลิเวอรีเท่านั้น และสาขานี้เคยขายดีพีกสุดสูงถึง 30,000 บาทต่อวัน จึงทำให้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
โดยทางร้านจะเน้นขายเมนูกะเพรา เพราะเขาคิดว่ามันยังไม่มีร้านไหนที่รสชาติเหมือนกับที่แม่เขาทำ อีกทั้งกะเพรายังเป็นอาหารที่สามารถทานได้ทุกวัน จึงนำสูตรของคุณแม่มาปรับให้เข้ากับยุคสมัยใหม่มากขึ้น
จนตอนนี้ผลตอบรับดีเกินคาด ได้มีการขยายทำเป็นแฟรนไชส์ เน้นที่ “น้ำซอสกะเพรา” เป็นหลัก จนปัจจุบันมีแฟรนไชส์ทั้งหมด 47 สาขา และแต่ละสาขาสามารถสร้างรายได้ 20,000 บาทต่อวัน และยอดขายเฉพาะตัวเมนูกะเพราอย่างเดียว สามารถสร้างรายได้ประมาณ 8 ล้านบาทต่อเดือน นอกจากจะได้ขยายสาขาตัวน้ำซอสกะเพราแล้ว เขาเล่าต่อว่า
“อีกอย่างหนึ่ง คือเราได้ช่วยเหลือคน หลายๆ เจ้าที่ซื้อกับเราคือเขาเคยทำงานประจำมาก่อน อย่างเคสแรก เขาเปิดขายที่บ้านขายมาปีกว่าเกือบ 2 ปี จนวันหนึ่งเขาก็ยังขายยังสั่งน้ำซอสเราเรื่อยๆ คือจนเขาเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ก็ได้มาเปิดกะเพราขุนช้าง สาขาอุดมสุข ช่วงนี้แกก็โอเคมากเลย ขายดีด้วย”
ทำไมต้อง “กะเพราขุนช้าง”
เขาเล่าว่า ความตั้งใจแรก คืออยากจะสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาหนึ่งอย่าง จึงมองย้อนกลับไปถึงวรรณคดีไทย เรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ซึ่งขุนช้างมีความจริงใจ จึงเลือกตัวละครนี้มา
ถ้าพูดถึงรสชาติที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของ “กะเพราขุนช้าง” ต้องบอกว่าเป็นรสชาติไทยเดิม ที่เมื่อทานเข้าไปแล้ว จะได้กลิ่นสมุนไพรตลบอบอวลอยู่ในปาก เนื่องจากสไตล์การผัดไม่เหมือนที่อื่น
ขั้นตอนแรก ผัดเนื้อสัตว์ผสมตัวน้ำซอสกะเพรา ต่อมาใส่กะเพราลงไป และทำการปิดฝาเพื่ออบให้กลิ่นกะเพราเข้าไปที่เนื้อสัตว์ จะทำให้เวลาทานเข้าไปแล้วจะได้กลิ่นหอมของสมุนไพร

เทคนิคอีกอย่างคือ ทางร้านจะใช้น้ำมันหมูในการผัด และทำน้ำมันหมูเจียวสดเองทุกเช้า โดยราคาเริ่มต้น มีตั้งแต่ 60 บาท ไปจนถึงหลัก 100 บาท และเมนูยอดนิยมคือ กะเพราหมูสับ และกะเพราเนื้อสับไข่ปี้ ตัวไข่ปี้จะมีลักษณะคล้ายกับไข่คน คือจะเอาไข่แดงกับไข่ขาวมาปี้กัน
นิยามเมนูกะเพราแบบฉบับของคุณณัฏฐ์คือ “รสชาติจะต้องเหมือนที่แม่ทำให้กินตอนเด็กๆ ไม่ได้ผัดแห้งมาก ส่วนเนื้อสัตว์จะมีความชุ่มฉ่ำในตัว ไม่แข็งกระด้าง รสชาติไทยแท้”
“เรานึกถึงร้านอาหารที่เราเคยไปกินสมัยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พอกลับไปทาน แล้วก็อ๋อรสชาตินี้แหละ คือที่เรากินสมัยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราก็ยังจำได้ นี่คือหัวใจหลักของการทำธุรกิจของผมเลย”
ราคาแฟรนไชส์
ตอนนี้ราคาแฟรนไชส์อยู่ที่ 399,000 บาท มีอุปกรณ์ให้ครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ตู้แช่ คีออส โต๊ะ พนักงาน เรียกได้ว่าได้อุปกรณ์ครบทุกอย่างพร้อมเปิดร้านได้ทันที
โดยเขาบอกว่า ตอนนี้ลูกค้าที่เคยซื้อแฟรนไชส์ไปประมาณ 70% คืนทุนเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาประมาณ 10 เดือน ซึ่งหากใครที่ไม่มีประสบการณ์ในการขายเลยก็ไม่ต้องกังวล เพราะทางแบรนด์จะมีการสอนทุกอย่าง และยังดูทำเลการขายให้อีกด้วย ว่าพื้นที่ตรงนั้นในระยะ 2 กิโลเมตร มีคนอยู่ประมาณกี่คน
อย่างเช่น สาขาท่าข้าม พระราม 2 ตอนเปิดร้านแรกๆ เขาก็จะเช็กก่อนว่า บริเวณรัศมี 2 กิโลเมตร มีคนอาศัยอยู่กี่คน ซึ่งตอนนั้นมีประมาณ 2 แสนคน แต่ปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นถึง 4 แสนคน
สำหรับผู้ประกอบการที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจ
อันดับแรกคือ ต้องมีความซื่อสัตย์ การที่เริ่มต้นทำธุรกิจจนสำเร็จเป็นอย่างไร นั่นก็คือ ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า จะต้องทำแบบเดิมอยู่ แต่ต้องไม่หยุดนิ่ง มีการเรียนรู้และพัฒนาเรื่องรสชาติกับเรื่องวัตถุดิบอยู่เสมอ
“การทำธุรกิจเราต้องใส่ใจ บางทีเริ่มจากจุดเล็กๆ คือ มันไม่ได้มองเห็นอนาคตเลยว่าจะเป็นอย่างไร แต่ต้องเริ่มจากทำวันนี้ก่อน ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าวันหนึ่งมันจะโตถึงขนาดนี้”
ติดต่อได้ที่เฟซบุ๊ก : กะเพราขุนช้าง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ค. 2024