เผยแพร่ |
---|
หญิงน้ำปรุง จรุงจิต นักจัดดอกไม้มืออาชีพ กว่าจะยืนหนึ่งในวงการ ต้องสู้กับใจตัวเอง
“เราเป็นกะเทย เราโดนดูถูกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องสู้ ไม่ได้สู้กับอะไรนะ สู้กับใจตัวเอง”
เรื่องราวของ “หญิงน้ำปรุง จรุงจิต” หรือ คุณชลัมพ์ ประคองทรัพย์ นักจัดดอกไม้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานานเกือบ 20 ปี อาชีพที่เริ่มต้นจากความชอบ สู่การเรียนคหกรรมศาสตร์ ที่ราชมงคลโชติเวช หรือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ในปัจจุบัน
“กาเรียนในระดับปริญญาตรี มันบอกถึงชีวิตเราเลยนะ ว่าเราต้องทำอะไรต่อไป เราจะเรียนอะไรดีนะ ที่สามารถดำเนินชีวิตไปได้ เลยมารู้ว่ามีวิชาคหกรรม ซึ่งครูประจำชั้น อาจารย์รัศมีบอกว่า เธอต้องไปเรียนที่โชติเวชนะ เราก็เลยเลือกเรียนเอกงานประดิษฐ์ เกี่ยวกับงานจัดดอกไม้ เย็บ ปัก ถัก ร้อย การอยู่ในบ้าน เรามีความสุขมากในการเรียน เพราะครูบาอาจารย์อยู่กันอย่างพี่น้อง กินข้าวด้วยกัน นอนด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ทำงานด้วยกัน

ซึ่งในขณะเรียน วิชาในห้องคือประสบการณ์จากหนังสือ แต่ประสบการณ์ตรงเราต้องมีการฝึกฝน อาจารย์ปิยธิดาบอกเราเสมอว่า ต้องฝึกประสบการณ์ตรงนะลูก อาจารย์อภิรัตน์ก็สอนมาตลอด ถ้าออกไปรับงานเองจะได้ประสบการณ์ตรง ด้วยความเป็นกะเทย และเคยรับงานจัดดอกไม้ตั้งแต่อยู่มัธยมที่นครสวรรค์ ก็เลยกล้ามากกว่าเพื่อนที่จะรับงาน เป็นเจ้าของกิจการเอง เริ่มต้นมากรุงเทพฯ ครั้งแรกก็รับงานจัดขันหมาก”
ตั้งแต่นั้นมา ชื่อของหญิงน้ำปรุง จรุงจิต ก็เริ่มเป็นที่รู้จัก เธอรับตั้งแต่งานแต่ง สวด บวช ตาย โดยยึดคติที่ว่า “ไม่เลือกงานไม่ยากจน” จนร่างกายโหมงานหนัก แทบไม่ได้พักผ่อน นั่นเป็นเพราะเธอมีความสุขในการทำงาน และได้ทำในอาชีพที่รักมากๆ จนลืมความเหนื่อย
“เราจะใช้ชีวิตแบบซอมบี้ไม่ได้แล้ว เรามีร่างกายเดียว ถ้าล้มไป ข้างหลังเนี่ยเป็นโดมิโนเลยนะ ทั้งครอบครัว ทั้งน้องๆ เราเป็นห่วง หลังๆ เลยรับงานอวมงคล งานศพ งานบุญเป็นหลัก เพราะงานศพทำกลางวัน พวงหรีดก็ล่วงหน้าได้ ซึ่งเรามาปรับช่วงอายุ 25 เพราะได้ทุนเรียนปริญญาโทด้วย” หญิงน้ำปรุง เล่าให้ฟัง

ลูกค้าคือคนในครอบครัว
การจัดดอกไม้ของหญิงน้ำปรุง คือการใส่ความเป็นไทยผสมกับความเป็นฝรั่งได้อย่างลงตัว นั่นจึงทำให้ผลงานของเธอออกมาโดดเด่น สวยงาม เป็นที่ประทับใจของลูกค้า แม้ในเวลาที่ดอกไม้แพง เช้าอีกราคา ค่ำอีกราคา เธอก็สามารถรับมือได้อย่างดี
“ดอกไม้แพง ใส่แค่นี้แหละ พอแล้ว ทำแบบนั้นไม่ได้ ลูกค้าเอาเงินมาซื้อเรา เขาไม่ได้วานเราไปทำ จะทำชุ่ยๆ ไม่ได้ เราได้คำนำหน้าว่าเป็นช่าง แสดงว่าเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญ เราต้องมีการจัดการ เช่น การใช้ของเทียม ดอกไม้เสมือนจริง ดอกไม้แห้งเข้ามาผสม แล้วใช้การจัดวาง ไล่สี ร่วมกับเทคนิคต่างๆ ที่ได้เรียนมา เอามาเพิ่มมูลค่า ทำให้งานออกมาสมูทสวยงามที่สุด”
โดยหญิงน้ำปรุงรับทำตั้งแต่พวงมาลัยยันจัดดอกไม้หน้าศพ หน้าเมรุ และทุกการทำงานจะคิดเสมอว่า ต้องทำทุกงานให้เป็นงานของตัวเอง ดั่งคำสอนของอาจารย์อนุสรณ์
“ถ้าคิดว่าเป็นงานเรา เราจะสงสารลูกค้า บางสิ่งบางอย่างไม่จำเป็น เราจะไม่หลอกขาย แต่ใช้ความจริงใจ นั่นทำให้ลูกค้ารักและเชื่อใจเรา และคิดเสมอว่าลูกค้าคือคนในครอบครัว คือพี่คือน้อง ครูบาอาจารย์จะสอนตลอดว่า อะไรที่ทำได้ ช่วยได้ เราจะทำ เราจะช่วย ลูกค้าก็ชอบ ชอบแล้วเขาจะบอกต่อ เอานางมาด้วยนะ มีนางคนเดียว เหมือนมีทุกคนในงานเลย เครื่องไฟแทบไม่ต้องหาเลย หานางคนเดียวก็จบแล้ว”

จึงทำให้เราได้เห็นคอนเทนต์เอนเตอร์เทนลูกค้าของหญิงน้ำปรุง ขณะเดียวกัน หากมีใครอยากนำผลงานของเธอไปเป็นแรงบันดาลใจ ก็ไม่เคยคิดหวง
“ปู่ย่าตายายเราสอนมา ให้อะไรไม่เท่าให้วิชาความรู้ เพราะเขาสามารถเอาไปต่อยอดได้ ย่ามีลูก 8 คน พ่อเราไม่เคยได้ไร่นา วัว ควาย เพราะย่าบอกว่าให้ความรู้ไปแล้ว คือส่งเรียนเป็นครู เราถูกปลูกฝังมาแบบนี้ อย่างน้องๆ ที่มาจัดดอกไม้กับเรา อยู่กับเราเขาก็อยู่อย่างมีความรู้ หรือถ้ามีเหตุการณ์ให้พลัดพราก เขาก็ไปอย่างมีความรู้ ถ้าใครจะเอางานเราไปเป็นแรงบันดาลใจ เรายกมือสาธุเลย เพราะได้สร้างอีกคน สร้างอีกอาชีพให้เขา” หญิงน้ำปรุง บอกอย่างจริงใจ

ความภูมิใจในอาชีพ
ตลอดเวลาเกือบ 20 ปี ที่หญิงน้ำปรุงโลดแล่นอยู่ในวงการจัดดอกไม้ อาชีพนี้ให้อะไรกับเธอหลายอย่าง เช่น การได้ร่วมงานกับ อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ผู้เป็นไอดอลในดวงใจ หรือการได้เป็นช่างจัดดอกไม้เผยแพร่วัฒนธรรมในต่างประเทศ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ได้จากวิชาชีพคหกรรม

“คิดดูว่าอาจารย์ที่เป็นไอดอลของเรา สั่งพาน 30 ใบ ซึ่งพานเป็นของโบราณ แต่อาจารย์เอามาให้เลือก 100 ใบ ผมเอามาให้เลือกว่าอันไหนสวย อันไหนไม่สวย แล้วแต่เราเลย น้องชลัมพ์ทำเลย เพราะความสวยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยิ่งทำให้เราอยากพัฒนางานให้ลูกค้า
เราภาคภูมิใจกับเส้นทางการทำงานตรงนี้มาก หนึ่ง ได้ทำงานในสิ่งที่รัก สอง มีรายได้ที่ตอบโจทย์การใช้จ่ายของตัวเอง สาม ได้ดูแลครอบครัว สี่ ยังเหลือพอให้ทำบุญทำทาน เหลือขนาดได้เลี้ยงดูคนต่างๆ นานา มันมีความสุขทุกด้าน
วิชาชีพคหกรรมศาสตร์ ทุกคนเคยมีความเชื่อผิดๆ คิดว่าเป็นงานของแม่บ้าน แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดู เมื่อก่อนคนที่มีเงินเท่านั้นถึงจะส่งลูกไปเรียนคหกรรมที่ต่างประเทศ ส่งไปเรียนที่ลอนดอน เพื่อนำวิชาการต่างๆ กลับมาพัฒนาให้คนในครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลังจากนั้นคนรวยก็เอามาให้คนที่ตอบโจทย์เขาเรียน เช่น แม่บ้าน คนดูแล พนักงานต่างๆ
นอกจากเราโดนดูถูกวิชาชีพ เราเป็นกะเทย เราโดนดูถูกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เราก็สู้ ไม่ได้สู้กับอะไรนะ สู้กับใจตัวเอง ว่าเราจะทำยังไงให้คนเขาเห็น เนี่ยผลสัมฤทธิ์นะ มันเป็นความต้องการของทุกคนในสังคมเลยนะ เด็กคหกรรมศาสตร์จะต้องดูแลคุณไปทุกอย่าง ตั้งแต่กวาดบ้าน ตื่นนอน ยันหลับ ทำยังไงให้ชีวิตคุณดีขึ้นกว่าเดิม”
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567