เผยแพร่ |
---|
สร้างรายได้เป็นล้าน! อาชีพนักชิมอาหารลับ เพียงแค่เขียนรีวิว และทำประเมินก็รับทรัพย์ไปแบบปังๆ
ทุกคนรู้ไหมว่า “อาชีพนักชิมอาหารลับ” เป็นการไปร้านอาหารแล้วทำการประเมิน แบบไม่ต้องเปิดเผยตัวตน ก็สามารถสร้างรายได้ได้ถึงหลักล้าน อย่างเช่นเรื่องราวของ Cliff Smith (คลิฟ สมิธ) ที่อาศัยอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และเป็นผู้ประเมินให้กับ EyeSpy Critiquing & Consulting บริษัทรับจ้างประเมินแบบลับ ซึ่งสมิธทำงานมานานหลายสิบปี ทำให้มีรายได้หลายหมื่นดอลลาร์ หรือเทียบเป็นเงินไทย ประมาณ 1,400,000 บาท
จุดเริ่มต้นเป็นนักชิมลับ
Cliff Smith (คลิฟ สมิธ) เริ่มต้นเป็นนักชิมลับกับ EyeSpy มากว่า 20 ปี โดยเพื่อนๆ ของเขารู้จักกับ Mistie Boulton ที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นกลุ่มคนแรกๆ ที่ได้ทำ
เขาเล่าว่า “เราก็คิดว่ามันดี ที่ได้ทานอาหารฟรีในร้านอาหารหรูหรา เพียงแค่แลกกับการเขียนรีวิวประสบการณ์ที่ได้มา”
เขาก็ไม่ได้รีบคว้าโอกาสนี้ไว้ทันที แต่พอตกงานและเริ่มเป็นติวเตอร์คอร์ส GMAT เขาก็หันมาทำอาชีพเสริมนี้ เพื่อที่จะรับประทานอาหารนอกบ้านได้
โดยทั่วไปแล้ว เขาจะประเมินประมาณ 3 ร้านต่อเดือน และงานนี้ได้พาเขาไปทั้งร้านอาหารที่หรูหรา ราคาแพง ไปจนถึงร้านอาหารแบบสบายๆ ทั่วไป บางครั้ง การประเมินอาจเป็นแค่การสั่งอาหารแบบซื้อกลับบ้านด้วย
สมิธ เล่าว่า เมื่อวันเสาร์หนึ่งเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว เขาและภรรยา ไปประเมินร้านบรันซ์ที่ The Village Pub งบประมาณสำหรับบรันซ์ของเขาคือ 250 ดอลลาร์ (ประมาณ 9,182 บาท) ซึ่งเขาใช้เกินงบไปนิดหน่อยเมื่อรวมภาษีและทิป
ถัดมาวันศุกร์ เขาได้ประเมินพิซซ่าที่สั่งทางดีลิเวอรี ดังนั้น ร้านที่ไปประเมินจึงหลากหลาย ซึ่งเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ทำให้ได้ไปยังสถานที่ที่คุณอาจจะไม่ได้ไปเอง
ช่องทางการรับงาน
โดยกระบวนการปกติจะเริ่มต้นจากการที่คุณได้รับอีเมล จากนั้นเข้าไปที่เว็บไซต์ และดูงานที่ได้รับมอบหมาย คุณสามารถเจรจากำหนดเวลารับงานได้ภายในเดือนนั้น แต่ถ้าไม่สามารถรับงานได้ คุณสามารถอธิบายเหตุผลและขอเลื่อนไปรับงานในเดือนหน้า แต่คุณอาจจะไม่ได้รับงานนั้นอีก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ บางครั้งถ้ามีคนอื่นรับงานสำหรับสัปดาห์ถัดไปแล้ว อาจจะไม่สามารถเลื่อนได้
แต่ละการประเมิน จะมีแบบฟอร์มสำรวจออนไลน์ ซึ่งในแต่ละร้านอาหาร จะแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น
“ร้าน The Village Pub จะใส่ใจมากในเรื่องการบริการไวน์ พวกเขาปฏิบัติตามขั้นตอนที่เหมาะสมหรือไม่? พวกเขาเทไวน์ให้คุณตลอดเวลาหรือเปล่า?”
ในขณะที่ร้านอาหารอื่นๆ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก แต่พวกเขาอาจจะใส่ใจว่ามีกี่คนที่กล่าวคำอำลาคุณ ดังนั้น ก่อนการประเมิน คุณจำเป็นต้องดูแบบฟอร์มจริงๆ แม้ว่าจะเป็นร้านอาหารประเภทเดียวกัน การจัดการร้านก็อาจจะใส่ใจในสิ่งที่ต่างกันไปด้วยเหตุผลที่ต่างกัน
และคุณควรจำไว้ว่า พวกเขาทำอะไรแตกต่างกันไปบ้าง เขาต้องถ่ายรูปเพื่อให้เขามีเวลาประทับใจสำหรับทุกอย่าง
การประเมิน
คุณต้องส่งการประเมินภายใน 24 ชั่วโมง ตอนที่เราเริ่มทำ มันเคยมีเวลา 2 วัน แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนเป็นส่งภายในวันถัดไป ซึ่งก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล เพราะคุณต้องจำรายละเอียดเยอะ และความทรงจำมันก็เลือนหายไปได้
เวลาที่ใช้ในการประเมินขึ้นอยู่กับสถานที่ สำหรับร้านพิซซ่าที่สมิธเคยพูดถึง เขาทำการประเมินเสร็จภายในคืนนั้น โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง แต่สำหรับการประเมินร้าน The Village Pub เขาใช้เวลานานถึง 6 ชั่วโมง เขาบอกว่าไม่สามารถประเมินเสร็จได้ภายในวันเดียวสำหรับร้านนี้
นอกจากนี้ เขาต้องใช้ Photoshop ในการตัดแต่งรูปภาพเหล่านี้ เพราะจริงๆ แล้ว เขาก็แอบถ่ายรูปอยู่ ถึงแม้ว่าการถ่ายรูปเดี๋ยวนี้จะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมาก แต่เขาถ่ายรูปเยอะมากเพราะไม่อยากให้มันดูน่าสงสัยจนเกินไป เขาเล่าว่า
“ฝีมือการถ่ายรูปของฉันก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมตลอดเวลา สำหรับรูปอาหาร ฉันถ่ายสวยนะ แต่องค์ประกอบอื่นๆ อาจจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ บางครั้งฉันอาจจะถ่ายรูปโต๊ะเพื่อแสดงการจัดวางบนโต๊ะอาหาร เวลาที่พวกเขาใส่ใจเรื่องนี้ ในภายหลัง เวลาที่ฉันส่งรูปภาพ ฉันต้องตัดรูปภาพเหล่านี้ให้ดูดีขึ้น และลดขนาดรูปภาพอื่นๆ เพื่อไม่ให้เซิร์ฟเวอร์ของ EyeSpy โหลดหนักเกินไป”
ตั้งแต่กรกฎาคม 2008 เขาได้ติดตามจำนวนเงินที่เขาได้รับเบี้ยเลี้ยงสำหรับการประเมินแต่ละครั้ง ซึ่งรวมเป็นเงินทั้งหมด 40,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,469,900 บาท
โดยสมิธ บอกว่า ส่วนที่ดีที่สุดของการเป็นนักชิมลับ คือโอกาสที่จะไปยังสถานที่ที่เราอาจจะไม่ได้ไปในยามปกติ งานนี้ทำให้เราได้ไปทานอาหารที่ร้านหรูๆ อย่าง The Village Pub ซึ่งเราคงไม่ยอมเสียเงินขนาดนั้นเพื่อทานมื้อค่ำ แถมยังรวมถึงมื้อบรันช์ด้วย
นอกจากนี้ เรายังได้ไปร้านอาหาร Oren’s Hummus ซึ่งเป็นร้านของ Mistie Boulton แต่ก่อนที่จะทำงานกับ EyeSpy เขาไม่แน่ใจว่าเขาเคยทานอาหารตะวันออกกลางมาก่อนหรือเปล่า
อีกสิ่งที่เขาชอบคือ เขามีสิทธิ์ออกเสียงจริงๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเวลาคุณไปทานอาหารที่ร้าน แล้วเขาบริการแย่ คุณอาจจะขอคุยกับผู้จัดการ และร้านอาหารอาจจะลดราคาให้ หรือให้ขนมหวานฟรี
แต่สำหรับสมิธแล้ว เขาบอกว่าเหมือนมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือ ถ้าหากเขารายงานไปว่ามีอะไรผิดปกติ ร้านอาหารมักจะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น
ครั้งหนึ่งเขาไปทานอาหารที่ร้านบิสโตรสุดหรูในซานฟรานซิสโก พนักงานเสิร์ฟของทางร้านยังไม่ค่อยชำนาญนัก มันก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดที่ทำให้เขาไม่อยากกลับไปทานที่ร้านนี้อีก แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นและไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ไม่กี่เดือนต่อมา เขากลับไปทานที่ร้านอาหารเดิมอีกครั้ง พนักงานเสิร์ฟคนเดิมก็ยังอยู่ แต่ตอนนี้เธอเป็นผู้ช่วย ไม่ได้เป็นพนักงานเสิร์ฟหลักแล้ว เขาเลยคิดว่า
“เฮ้ย พวกเขาฟังเราสินะ! และเธอก็ดูเหมือนจะโอเคกับการทำหน้าที่นั้น มันเหมาะกับทักษะของเธอมากกว่า น่าพอใจที่รู้ว่าเสียงของฉันถูกได้ยิน เพราะทางร้านอาหารจ่ายเงินมาเพื่อฟังเสียงของฉัน”
ที่มา Entrepreneur