EXIM BANK หนุนภาคเกษตรสร้างระบบนิเวศคาร์บอนต่ำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

EXIM BANK หนุนภาคเกษตรสร้างระบบนิเวศคาร์บอนต่ำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

EXIM BANK หนุนภาคเกษตรสร้างระบบนิเวศคาร์บอนต่ำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรของไทยอย่างยั่งยืน

ภาคเกษตรเป็นหนึ่งในภาคที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างสูง ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ประเทศไทยมีจำนวนประชากรในภาคเกษตรราว 25 ล้านคน หรือคิดเป็น 40% ของประชากรทั้งหมด ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรยังเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับประเทศคิดเป็นประมาณ 9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม
ในประเทศ (GDP) อย่างไรก็ดี กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคเกษตรเองก็มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง
14.7-25.23% ของปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของไทยเช่นกัน โดยพืชที่ถือเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของก๊าซเรือนกระจก คือ ข้าว เนื่องจากกระบวนการเพาะปลูกแบบทั่วไปจะก่อให้เกิดก๊าซมีเทนที่ทำให้โลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า 

ด้วยความตระหนักถึงวิกฤตโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงและมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมที่นับวันจะเข้มงวดขึ้น
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงกับพันธมิตรสีเขียวอย่างบริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด เพื่อให้การสนับสนุนให้องค์กรต่าง ๆ รวมทั้งภาคธุรกิจของไทยบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้กลไกใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates : RECs) และคาร์บอนเครดิต โดยหนึ่งในโครงการที่ทั้งสององค์กรได้ทำร่วมกัน คือ การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับโครงการปลูกข้าวนาเปียกสลับแห้งที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการปลูกข้าวได้ถึง 45% ผ่านการบริหารจัดการความสมดุลของปริมาณน้ำในนาข้าว ลดการใช้น้ำ และเพิ่มผลผลิต ซึ่งจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรของไทยได้อย่างยั่งยืน

นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด กล่าวว่า การ Go Green ในปัจจุบันถือเป็นทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก ความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK กับ เวฟ บีซีจี นับเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยังอยู่ในระดับสูงใน 2 อุตสาหกรรมหลักของไทย ได้แก่ พลังงาน และเกษตร โดยทั้ง 2 องค์กรจะเดินหน้าผลักดันให้ผู้ประกอบการ รวมทั้งเกษตรกรไทย หันมาใช้ RECs เป็นกลไกในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย โดยมีโครงการนำร่องได้แก่ การปลูกข้าวนาเปียกสลับแห้งเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกสินค้าเกษตรและสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนให้แก่ภาคเกษตรของไทย

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นหนึ่งในโครงการบุกเบิกที่ EXIM BANK ต้องการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักรู้และลงมือทำจริงในการสร้างระบบนิเวศคาร์บอนต่ำ ตั้งแต่ต้นน้ำในภาคเกษตรกรรมและจนถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ทำให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจก อาทิ ก๊าซมีเทน ตั้งแต่แปลงนาข้าว ไปจนถึงการส่งเสริมให้มีผู้รับซื้อข้าวที่มีก๊าซมีเทนต่ำ และในอนาคต EXIM BANK จะขยายความร่วมมือกับพันธมิตรอื่น ๆ ต่อไปเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนตลอด Supply Chain การส่งออกตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมากยิ่งขึ้น

อีกหนึ่งโครงการพัฒนาภาคเกษตรที่ EXIM BANK ได้ลงมือทำจนเกิดผลลัพธ์ไปก่อนหน้านี้ คือ โครงการ EXIM สัญจรเพื่อคนตัวเล็ก ที่ธนาคารได้ร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ บมจ. ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น และ บมจ. อีสเทอร์น พาว เวอร์กรุ๊ป และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำโมเดล Green Development ลงพื้นที่แก้ภัยแล้ง เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และสร้างรายได้ยั่งยืนให้กับชาวบ้านในชุมชนห้วยน้ำเพี้ย จ.น่าน ที่มีประชากรราว 900 คน (260 ครัวเรือน) ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร และเน้นทำการเกษตร
เชิงเดี่ยวด้วยการเพาะปลูกข้าวโพด เนื่องจากขาดแคลนน้ำในการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น อีกทั้งยังใช้
วิธีเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกจนก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5)

ดร.รักษ์ กล่าวว่า สิ่งที่ EXIM BANK และพันธมิตร ลงมือทำเพื่อช่วยเหลือชุมชน คือ การเข้าไปติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับผันน้ำขึ้นที่สูงซึ่งช่วยให้ชุมชนห้วยน้ำเพี้ย มีทั้งไฟฟ้าและน้ำใช้ทำการเกษตรได้ตลอดปี นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกไม้ยืนต้นและไม้ผลอื่น ๆ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ อาทิ โกโก้ ทุเรียน อโวคาโด กล้วย และยางพารา เพื่อสร้างรายได้ครัวเรือนได้มากขึ้นและลดปัญหาฝุ่น PM 2.5ได้อย่างยั่งยืนไปพร้อม ๆ กัน 

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ระบุว่า หากพิจารณาจากมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่มีราว 18,000 มาตรการ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น การจะทำให้สินค้าเกษตรไทยยังสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เกษตรกรรวมถึงผู้ประกอบการในห่วงโซ่ทั้งหมดจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยน 2 Ps ได้แก่ Process (กระบวนการผลิต) และ Product (ผลิตภัณฑ์) ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสอดคล้องกับกรอบแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) เพื่อให้ได้มาซึ่ง 4 Ps ประกอบด้วย Price “ตั้งราคาขายได้สูงขึ้น” Place “เข้าถึงตลาดกว้างขึ้น” Profit “ได้กำไรมากขึ้น” และ Promotion “โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน”

“ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ข้าวที่กระบวนการผลิตปล่อยก๊าซมีเทนต่ำสามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่าข้าวทั่วไป 20% เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดและเข้าถึงตลาดได้มากกว่า นำไปสู่กำไรที่สูงขึ้น EXIM BANK ส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศคาร์บอนต่ำ ตั้งแต่ต้นน้ำในภาคเกษตรกรรมและจนถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อปรับลดก๊าซเรือนกระจกให้ครบทั้ง 3 Scopes โดยเฉพาะ Scope ที่ 3 ซึ่งมีสัดส่วนใหญ่ที่สุดและทำได้ยากที่สุดเพราะเกี่ยวข้องกับทั้งห่วงโซ่การผลิต เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว เมื่อเร็ว ๆ นี้ธนาคารจึงพัฒนา Solution ทางการเงินที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ครบทุก Scope ทั้ง 1-2-3 โดยสนับสนุนสินเชื่อ Green Export Supply Chain อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้นที่ 3.85% ต่อปี ให้แก่ Suppliers และผู้ซื้อปลายทางของผู้ประกอบการตลอด Supply Chain ที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำได้ โดยอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ (Sponsors) ได้รับ ช่วยให้ทั้งคนตัวใหญ่ คนตัวกลาง และคนตัวเล็ก สามารถจูงมือ Go Green ไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืน” ดร.รักษ์ กล่าว