เปลี่ยนดราม่าเป็นรายได้ รับมือปัญหาแบบข้าวคลุกกะปิแม่พลอย-แม่ปูนา

เปลี่ยนดราม่าเป็นรายได้ รับมือปัญหาแบบข้าวคลุกกะปิแม่พลอย-แม่ปูนา
เปลี่ยนดราม่าเป็นรายได้ รับมือปัญหาแบบข้าวคลุกกะปิแม่พลอย-แม่ปูนา

เปลี่ยนดราม่าเป็นรายได้ รับมือปัญหาแบบข้าวคลุกกะปิแม่พลอย-แม่ปูนา

วันที่ 26 เมษายน 2567 ในงาน จัดจ้านจานเด็ด ที่มติชนอคาเดมี บนเวทีเสวนา “ทอล์กจัดจ้าน” หัวข้อ “สารพัดปัญหา ดราม่าไม่เว้นวัน พ่อค้าแม่ขายต้องรับมืออย่างไร?” โดย คุณบีม-รชต คำรอด เจ้าของร้านปูนาฟ้าใส และ คุณพลอย-หทัยพัชร วสุศักดิ์ศิริ เจ้าของร้านข้าวคลุกกะปิแม่พลอย สองผู้ประกอบการแห่งวงการร้านอาหารที่ต่างกันสุดขั้ว แต่เจอกับสารพัดปัญหาเช่นกัน 

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เปลี่ยนดราม่าเป็นรายได้ รับมือปัญหาแบบปูนาฟ้าใส และข้าวคลุกกะปิแม่พลอย

คุณบีม-ปูนาฟ้าใส เล่าว่า เดิมเป็นแม่บ้าน แต่อยากหาอาชีพเสริม เลยหยิบปูนามาทำเป็นอาชีพ และได้เริ่มทำ โดยให้ทางบ้านชิมก่อน ทางบ้านบอกว่า อร่อย แต่ว่าเธอไม่เชื่อ เลยนำไปให้เพื่อนๆ ลองชิม การตอบรับเริ่มดี จึงเริ่มทดลองทำ โดยซื้อกระปุกฝาแดงมาจากตลาด และใช้โซเชียลในการประชาสัมพันธ์ และใช้ชื่อว่า ปูนาฟ้าใส ตั้งแต่เริ่มแรก

ในตอนแรกมีแต่คนบอกว่า “บ้า” เพราะอ่องมันปูเป็นสินค้าที่หากินได้แค่เฉพาะกลุ่ม ตามท้องถิ่น ใครจะมาซื้อกิน แต่ก็ไม่ย่อท้อและทำต่อมาเรื่อยๆ จนถึง 4 ปีเต็ม

ทางด้านคุณพลอย เล่าว่า ชีวิตพลิกจากฟ้าสู่ดิน แต่พลิกจากฟ้าสู่ดินในที่นี้หมายถึงว่า เดิมทีคุณพลอยทำอาชีพแอร์โฮสเตส แต่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นแม่ค้าขายข้าวคลุกกะปิ ในตอนแรกก็คิดว่าอาชีพแอร์โฮสเตสเป็นอาชีพที่ใช่และเหมาะกับตัวเอง จนมาเจอโควิด ผสมกับหมดสัญญากับทางบริษัท จึงตัดสินใจออกมาอยู่กับครอบครัว

หลายๆ คนอาจจะรู้จักเธอในนามแม่ค้าข้าวคลุกกะปิ แต่ก่อนที่จะมาขายข้าวคลุกกะปิ เธอได้ขายกวยจั๊บญวนมาก่อน และเกิดเหตุไฟไหม้บ้าน เลยต้องย้ายที่อยู่ จึงต้องย้ายไปเปิดร้านอาหารที่อื่น และใช้ชื่อร้านว่า ชูรส และเริ่มทำข้าวคลุกกะปิอย่างจริงจัง

“การเปิดหน้าร้านแล้วตั้งชื่ออาหาร คนจะคิดว่าเราขายเมนูเดียว ควรตั้งเป็นชื่อกลาง แล้วใช้ป้ายสื่อสารว่าเราขายอะไร” คุณพลอย กล่าว

คุณพลอย กล่าวเสริมอีกว่า ทำเลที่ตั้งก็เป็นส่วนสำคัญ และการสร้างคาแร็กเตอร์ของตัวเองขึ้นมา เพื่อความแตกต่าง ก็จะทำให้ร้านเราเป็นเอกลักษณ์และทำให้คนรู้จัก 

คุณพลอย-หทัยพัชร วสุศักดิ์ศิริ เจ้าของร้านข้าวคลุกกะปิแม่พลอย
คุณพลอย-หทัยพัชร วสุศักดิ์ศิริ เจ้าของร้านข้าวคลุกกะปิแม่พลอย

ยอดขายและการตอบรับ

คุณบีม บอกว่า ต้องขอบคุณทุกการสนับสนุน ทุกความเมตตา รับมือไม่ทัน เพราะเข้ากันมาเยอะมาก ต้องบอกว่าชีวิตช่วงดราม่า ค่อนข้างทุลักทุเล แต่สามารถรับมือได้เพราะเธอบอกว่า

“เราอยู่ด้วยแรงใจ อยู่ด้วยความเป็นจริง”

ทางด้านคุณพลอย กล่าวว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีฐานลูกค้ามากขึ้น จากที่ไปขายตลาดละลายทรัพย์ นอกจากนี้ ยังมีการขยายตลาดออกไป โดยยอดขายต่อวันอยู่ที่วันละ 600 กล่อง 

มาในเรื่องของปัญหาแต่ละร้านที่เจอ โดยเริ่มจากคุณพลอย โดยส่วนตัวอาจจะไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เจออยู่บ่อยครั้งคือ หางแถว หรือคิวของร้าน ยาวไปจนบังร้านอื่นๆ 

โดยคุณพลอย กล่าวถึงวิธีแก้ปัญหาไว้ว่า 

“จะบอกลูกค้าว่าสามารถโทรมาสั่งก่อนได้ เพื่อลูกค้าจะได้ไม่ต้องมารอหน้าร้าน และปรับวิธีการทำให้รวดเร็วมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า”

และวิธีการคิดเรื่องรายได้ จากที่เมื่อก่อนเธอคำนวณรายได้เป็นรายวัน แต่ปรับเปลี่ยนใหม่ว่าควรจะคิดเป็นแบบรายเดือนดีกว่า 

“รายได้เท่านี้อยู่ได้ไหม ลูกน้องอยู่ได้ไหม เราอยู่ได้ ลูกน้องอยู่ได้ ทุกอย่างแฮปปี้” คุณพลอย กล่าว

ทางด้านของคุณบีม เดิมทีไม่ได้มีการออกตลาด แต่จะเป็นการขายผ่านระบบออนไลน์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และปัจจุบันนี้แพ็กเกจจิ้งจะเป็นมาตรฐานมากขึ้น เพื่อรองรับการตลาดที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีการส่งออกที่อเมริกาถึง 4 เจ้า 

“ร้านเราจะไม่เน้นขาย เราจะให้ชิม เพราะสินค้าเราจะเป็นสินค้าเฉพาะถิ่น แค่ชิมให้ก็พอใจแล้ว ซื้อกลับนั่นคือกำไร” คุณบีม กล่าว

คุณบีม-รชต คำรอด เจ้าของร้านปูนาฟ้าใส
คุณบีม-รชต คำรอด เจ้าของร้านปูนาฟ้าใส

รู้สึกท้อหรือไม่

สำหรับคุณพลอยแล้ว ไม่ท้อเท่าไหร่ เพราะจริงๆ ไม่เป็นคนคิดลบ ทุกปัญหามีทางออก ถ้าแก้ไม่ได้ก็หลับสักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยคิดใหม่ ครอบครัวคือยาชูกำลังที่ดี

ด้านคุณบีม ก็ไม่เคยท้อ เพราะมีหลายปัญหา ตั้งแต่เริ่มทำ อย่างตอนแรกที่เคี่ยวมันปู เผลอแค่สักครู่เดียว ปูไหม้ ถอดใจ ไม่ทำแล้ว แต่กลับมาคิดได้ว่า ไม่ได้สิ ต้องสู้ ต้องทำ เราต้องไม่ป่วย เราต้องไปต่อ ปัญหาแค่นี้เหรอ คนอื่นเจอเยอะกว่าเรายังไปต่อได้ ปัญหาเหรอ ช่างแx่ง

ย้อนกลับไป คิดว่าเลือกเดินถูกเส้นทางหรือไม่

คุณพลอย กล่าวว่า ตัดสินใจถูกแล้ว ตอนแรกตั้งธงอย่างเดียวว่าจะเป็นแอร์ฯ แต่พอออกมากลับคิดได้ว่า คนเราไม่ได้ทำได้อย่างเดียว ยืนยันคำเดิมว่า ออกมาทำข้าวคลุกกะปิแน่นอน

คุณพลอย ได้กล่าวแนะนำคนอื่นๆ ไว้ว่า 

“ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ขอให้กล้า กล้าที่จะลอง เพราะหลังจากนี้อาจจะพลิกชีวิตเราก็ได้”

ด้านคุณบีม กล่าวว่า ถ้าย้อนกลับไปได้ จะบอกกับตัวเองว่า ทำไมถึงเพิ่งตัดสินใจหันมาเลี้ยงปู เป็นการตัดสินใจที่ช้า แต่ไม่ผิดเส้นทาง

สุดท้ายคุณบีม ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า 

“เราไม่เคยรู้ค่าของเงินเลยในเมื่อก่อน จนช่วงโควิด ถ้าเราไม่เริ่มตอนนี้ ถ้าเราไม่กล้าตอนนี้ เราจะเริ่มเมื่อไหร่ กล้าคิด แล้วต้องกล้าทำ แล้วประสบการณ์จะสอนเราเอง”