สรุปไทม์ไลน์ ดราม่า แฟรนไชส์ลูกชิ้นเชฟอ้อย จากต้นจนจบ?

สรุปไทม์ไลน์ ดราม่า แฟรนไชส์ลูกชิ้นเชฟอ้อย จากต้นจนจบ?

สรุปไทม์ไลน์ ดราม่า แฟรนไชส์ลูกชิ้นเชฟอ้อย จากต้นจนจบ?

ยังคงร้อนระอุกับประเด็น ‘แฟรนไชส์ลูกชิ้นเจ้าดัง’ ซึ่งพอพูดถึงต่างรู้เลยว่าเป็น เชฟอ้อย-ยุวดี ชัยศิริพาณิชย์ เจ้าของร้านลูกชิ้นที่ตักให้ล้นถุงมาพร้อมคำพูดแรงๆ ทำเอาดังข้ามคืนจากสไตล์ 

ในเวลาไม่นานเมื่อกระแสไวรัลมากขึ้น คนก็เริ่มให้ความสนใจ มีการถามขอซื้อแฟรนไชส์ลูกชิ้นเพราะแบรนด์และตัวเชฟอ้อย

โดยราคาแฟรนไชส์เริ่มต้นอยู่ที่ 250,000 บาทต่อจังหวัด มีการสอนสูตร มีเครื่องปั้นลูกชิ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ปั้นสดตักล้นถุงในราคา 100 บาท

เรื่องราวเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่คลื่นเล็กๆ ระลอกแล้วระลอกเล่าก็เริ่มทวีคูณใต้ผืนดินเกิดแรงสั่นสะเทือน

โพสต์ต้นเรื่อง

วันที่ 8 ธ.ค. 66 เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อมีเพจเฟซบุ๊กหนึ่ง ออกมาโพสต์แฉเจ้าของแฟรนไชส์ลูกชิ้นร้านดัง เอาเปรียบผู้ซื้อ แถมอ้างว่ามีผู้เสียหายจ่อฟ้องเพียบ ซึ่งในเนื้อหาช่วงท้ายกล่าวว่า

“ตอนนี้มีผู้เสียหายกับแฟรนไชส์นี้เยอะมากๆ เกิน 40 คนค่ะตอนนี้ ที่ทุกคนไม่ออกมาพูดเพราะมีความหวังว่าขายไปแล้วจะได้เงินคืน แล้วกลัวเจ้าของแฟรนไชส์มายึดคืน ซึ่งระบบทุกอย่างสร้างมาเพื่อเอาเปรียบผู้ซื้อแฟรนไชส์ทุกคน เกือบ ฆตต เพราะความเครียด แต่หนูจะไม่ยอมให้คนแบบนี้ลอยนวล ออกมาพูดว่าตัวเองเป็นคนดี ซึ่งความจริงไม่เลยค่ะ”

การดำเนินคดีจากเชฟอ้อย CHARM GARDEN

ต่อมาในวันที่ 9 ธ.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก CHARM GARDEN ได้โพสต์ประกาศจากกรณีดังกล่าวว่า

เนื่องจากในวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2566 เวลา 1 ทุ่มโดยประมาณ มีเพจหนึ่งได้ทำการลงข้อความและรูปภาพ ซึ่งข้อความดังกล่าว “เข้าข่ายการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คอมพ์”

ทาง เชฟอ้อย จึงจำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด ทั้งผู้โพสต์ ผู้ที่คอมเมนต์ ในทางที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหาย และผู้ที่แชร์ต่อ

ทางเชฟขอเรียนย้ำให้ทราบว่า ทางเชฟอ้อยจะดำเนินคดีข้อหา “หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คอมพ์” กับทุกคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และจะไม่ขอรับคำขอโทษ คำขอขมา หรือยอมความใดๆ เพื่อให้เป็นเคสตัวอย่างต่อไป

ความคิดเห็นเพิ่มเติมในหน้าสื่อ

ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 66 TikTok ช่อง pusrimay ได้เผยแพร่คลิปถึงประเด็น ‘แฟรนไชส์’ ใจความว่า ตนเปิดขายแฟรนไชส์ จังหวัดละ 1 ร้าน แต่บางเคสที่เจอก็หัวหมอ แอบไปขายข้ามจังหวัด แล้วทำทีเปลี่ยนชื่อร้าน เมื่อลองสืบเสาะต้นตอ ก็พบว่าเป็นคนที่ซื้อแฟรนไชส์ไปจากตน

บางรายแอบนำสูตรของเชฟอ้อย ไปจ้างโรงงานทำอีกด้วย บางรายทำทีเข้ามาขอความช่วยเหลือ อ้างว่าไม่มีทุน พอช่วยก็ทำตัวไม่ดี ห่วงแต่จะได้กำไรน้อย โอดครวญ ทำแล้วไม่ได้กำไรเท่าเชฟ แถมบางรายที่ซื้อแฟรนไชส์ ยังแอบนำแฟรนไชส์ไปขายต่ออีกด้วย นอกจากนี้ เชฟอ้อยได้เล่าเสริมว่ามีเพียงบางส่วนเท่านั้น และย้ำเรื่องความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า

ในวันที่ 9 ธ.ค. 66 สำนักข่าว ข่าวสดออนไลน์ ติดต่อไปยังเชฟอ้อยพร้อมเปิดใจถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนนั้นถูกกล่าวหา ถูกตนเองเอาเปรียบ จะยึดร้านคืนกว่า 40 ราย ว่า กรณีนี้ ผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์ร้านลูกชิ้นราว 10 ราย ทำผิดข้อสัญญา จึงทำให้ต้องยกเลิก และคนเหล่านั้นไม่พอใจ ก่อนมาว่ากล่าวใส่ร้ายตน

โดยชี้แจงในประเด็นที่ ผู้ซื้อแฟรนไชส์ ได้รับเครื่องมือและอุปกรณ์การทำร้านล่าช้า แล้วขอขายแฟรนไชส์คืนให้ตนนั้น ตามจริงกำหนดส่งมอบหลังติดต่อทำธุรกิจก็จะเร่งให้เร็วที่สุดภายใน 30-40 วัน

นอกจากเรื่องการขนส่งอุปกรณ์ล่าช้า ยังมีเรื่องผู้อ้างตนว่าจะโดนยึดแฟรนไชส์เนื่องจากงานประจำที่ต้องทำ ไม่มีเวลามาบริหาร รวมถึงเรื่องผู้ซื้อแฟรนไชส์ที่ไปออกบูธทำสินค้าไม่ได้มาตรฐาน เน่าเสีย ขายของช้าแถวยาว และไม่จ่ายค่าไฟ เป็นต้น

โหนกระแส

วันที่ 11 ธ.ค. 66 รายการ โหนกระแส ออกอากาศ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” สัมภาษณ์ เล้ง แมน ฟลุ๊ค เดียร์ แอน ผู้เสียหาย ที่ไม่ได้มาจากร้านเดียวกัน แต่เดือดร้อนเหมือนกัน อีกฝั่งคือ เชฟอ้อย เจ้าของแบรนด์ลูกชิ้น เชฟปู พร้อมทนายคนกลาง ไพศาล เรืองฤทธิ์

ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือผู้ซื้อแฟรนไชส์ ได้รับผลกระทบจากราคาที่จ่ายเต็ม 2.5 แสน ยังไม่ได้รับของครบ นั่นคือ เครื่องบดหมูและเครื่องปั้นลูกชิ้นที่สามารถปั้น 1 นาทีได้ 300 ลูก ล่าช้ากว่าในสัญญาที่ให้ไว้ 7-14 วัน โดยภายหลังประกาศว่าเครื่องปั้นลูกชิ้นจะเลตออกไป 30-40 วัน 

อีกทั้งเรื่องการรับลูกชิ้นจากเชฟอ้อย ในราคากิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งมีราคาเทียบเท่ากับที่ขายคือถุงละ 100 บาท ผู้ซื้อแฟรนไชส์ได้ถามกลับว่าจะสามารถได้กำไรจากไหน 

“ลูกชิ้นซื้อกิโลละ 100 ตัก 6 ขีดก็พอ แต่ขนาดว่า 6 ขีด ก็เท่ากับ 60 บาท ค่าน้ำจิ้ม ค่าถุง ค่าที่ ค่าลูกน้อง ค่าใช้จ่ายแฝงเยอะมาก แค่ค่าน้ำจิ้มก็หมดแล้ว”

นอกจากนี้ ยังมีการนำลูกชิ้นไปต่อยอด และก๋วยเตี๋ยวที่มีการวางองค์ประกอบจานเหมือนกันกับก๋วยเตี๋ยวแซ่บแห้งของเชฟอ้อย โดยแมนได้ให้ความเห็นว่า 

“แล้วควรให้ผมจัดกับโต๊ะจีนเหรอค้าาา ขายก๋วยเตี๋ยว โต๊ะมีกี่แบบคะ มีแบบเดียวเวลาจัดบูธ คุณเชฟจะให้ผมไปซื้อกะละมังรูปดาวอังคารเหรอคะ ก๋วยเตี๋ยวมีกี่แบบ ถามหน่อย ก๋วยเตี๋ยวมีกี่ร้อยปีแล้วคะ

เชฟอ้อย “ถ้าคุณขายครั้งแรก คุณซื้อแบรนด์เราไป อยู่ๆ วันหนึ่งเห็นก๋วยเตี๋ยวเชฟดัง คุณขายก๋วยเตี๋ยว”

แมน “แล้วมันผิดตรงไหน”

เชฟอ้อย “ไม่ผิด”

จากนั้น หนุ่ม กรรชัย สรุปในมุมของผู้ที่ทำธุรกิจแฟรนไชส์มาก่อนว่า การที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะเอาไปต่อยอดธุรกิจไม่ผิด และสามารถทำได้ แต่ไม่ใช่เอาสูตรเราไปขาย เอาหน้า โลโก้ไปใช้ ซึ่งกรณีของเชฟอ้อยขายสูตรมันเป็นเรื่องผิดที่เราตั้งแต่แรก

สุดท้ายเชฟอ้อยยอมรับถึงข้อผิดพลาดดังกล่าว ทั้งยืนยันคืนเงินภายในวันนั้น (วันออกอากาศ) อีกทั้งผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องการขอคืนจะต้องหาคนมารับต่อก่อนยกเลิก

สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงแบบไหน จะต้องชั่งน้ำหนักของเรื่องราวต่อจากนี้ในทุกด้าน อีกทั้งเรื่องนี้สามารถเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจแล้วดังชั่วข้ามคืน ต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุมให้มีระบบ และผู้ที่อยากลงทุนแฟรนไชส์ต้องศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะทุกอย่างมีความเสี่ยงในทุกเรื่อง