ผู้มาก่อนกาล Vision Pro เจ๊ไฝ ตำนานที่ยังมีลมหายใจ

เปิดชีวิตหลังกระทะ ‘เจ๊ไฝ มิชลินสตาร์’ กับเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ใครก็พูดถึง

“อยู่หน้าเตามันร้อนเลยชอบใส่เสื้อยืดทำอาหาร ใส่รองเท้าบู๊ตและถุงเท้า เพื่อไม่ให้ลื่นและให้เท้าสะอาด สวมแว่นตากันลม เพราะเคยผ่าตัดตามาก่อน

ตอนนั้นหมอบอกว่าให้พักและระวังฝุ่นควันเข้าตา จึงลองเอาแว่นตากันลมเข้าตาขี่มอเตอร์ไซค์ของสามีมาลองใส่ ปรากฏว่าใส่พอดี ลองใส่ทำอาหารไม่มีควันเข้าตาเลย”

“เจ๊ไฝ” หรือชื่อเดิมคือ “เจ๊เปีย-สุภินยา จันสุตะ” เจ้าของร้านสตรีตฟู้ดชื่อดัง ย่านประตูผี สี่แยกสำราญราษฎร์ กรุงเทพฯ เล่าถึงเรื่องราวเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเธอว่าเริ่มต้นจากการเจ็บป่วย ไม่เพียงแค่นั้นกว่าจะมาเป็นเจ๊ไฝที่หลายคนรู้จักยังคงสร้างตำนานที่มีลมหายใจให้กับใครหลายๆ คน บนเรื่องราวการพิสูจน์ตัวตนของเธอ

เรื่องราวของเจ๊ไฝถูกนำมาทำเป็นสารคดีรวมในเรื่อง “อิ่มริมทาง เอเชีย (Street Food)” ที่พาไปตะลอนร้านสตรีตฟู้ดชื่อดังใน 9 ประเทศเอเชีย ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ เวียดนาม สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ เผยแพร่ในเน็ตฟลิกซ์ (์Netflix) จัดแถลงข่าว ณ ห้องศาลาแดง โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ

เจ๊ไฝ ในลุกส์ที่ไม่คุ้นตา สลัดผ้ากันเปื้อน มาสวมใส่เสื้อผ้าแนวที่ชื่นชอบและแต่งหน้าทาตาสวยงาม เล่าทั้งรอยยิ้มว่า เธอเป็นลูกคนที่ 5 จากลูกทั้งหมด 8 คน เป็นลูกคนที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว ตั้งแต่ตื่นเช้ามืดเพื่อซักผ้า ทำกับข้าวให้คนในครอบครัวกินก่อนไปโรงเรียน ทั้งยังช่วยงานพ่อแม่ที่เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่กระทะทองเหลือง จนเรียนจบชั้น ป.4 สอบเข้าได้ แต่ไม่ได้เรียน

“ตอนนั้นรู้สึกเสียใจมาก เพราะตัวเองเป็นคนชอบเรียน เรียนเก่ง เรียนรู้ไว แต่แม่บอกว่าให้น้องเรียน เพราะหากดิฉันเรียนต่อ น้องจะไม่ได้เรียน ดิฉันจึงเลิกเรียนในโรงเรียน แล้วเปลี่ยนมาเรียนเป็นช่างตัดเสื้อ ตอนนั้นเรียนได้ 6 เดือน ก็ทำงานเป็นลูกจ้างในห้องเสื้อแห่งหนึ่ง”

ทำอยู่ได้ไม่กี่ปี ห้องเสื้อที่เจ๊ไฝทำงานเกิดไฟไหม้และต้องปิดกิจการ สาววัย 20 กว่าๆ หมดหนทางอาชีพ ระหว่างนั่งครุ่นคิดเรื่องอนาคตจะไปอย่างไรต่อ เธอเห็นกิจการค้าขายอาหารภายในบ้าน จึงตัดสินใจจะทำอาชีพค้าขายอาหาร เริ่มจากการขายอาหารที่ชื่นชอบอย่าง “ราดหน้า” ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำไม่เป็น อาศัยชอบกินแบบไหนก็ลองทำอย่างนั้น คือไม่ใส่ซีอิ๊วในเส้นเหมือนราดหน้าทั่วไป หลังจากนั้นก็ลองผิดลองถูกเคาะกระทะอยู่เกือบ 1 เดือน จนได้เป็นเมนูราดหน้าสุดพิเศษ

เจ๊ไฝ เล่าว่า เหตุการณ์ไฟไหม้ทำให้เธอเหมือนอยู่ในจุดต่ำที่สุดของชีวิต แต่ถือคติชีวิตว่าล้มแล้วต้องลุกขึ้นสู้ ความสำเร็จอยู่ตรงหน้าเรา จึงลองผิดลองถูกทำอาหารสูตรที่ตัวเองชอบ กับการใช้เตาถ่านทำอาหารที่คุ้นเคย จนพบว่าการทอดเส้นบนกระทะที่ไม่มีน้ำมันในเตาถ่าน จะได้เส้นที่หอมกรอบอร่อยมาก

หลังจากได้สูตรที่พอใจ เจ๊ไฝก็เริ่มทำเมนูอื่นๆ ลองผิดลองถูกในสูตรที่ตัวเองชอบ หรือลูกสาวชอบ จากนั้นก็ขยับไปหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดมาใส่ในอาหาร อย่างเมนูไข่เจียวปู ปูผัดผงกะหรี่ ต้มยำทะเล โจ๊กแห้งทะเล ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเนื้อปู กุ้ง หมึกคุณภาพดี เป็นความพยายามของเจ๊ไฝที่ใส่ใจดูแลทุกขั้นตอนในร้าน ตั้งแต่ไปหาแหล่งวัตถุดิบที่ดีและสดด้วยตัวเองอยู่ตลอด เตรียมวัตถุดิบให้พร้อม ก่อนลงมือตวัดตะหลิวด้วยตัวเอง ยิ่งภายหลังได้รับรางวัลมิชลินแล้ว เจ๊ไฝยิ่งตั้งใจปรับปรุงเมนูอาหารให้ดีขึ้น

“การทำอาหารที่ดีจะต้องใส่ใจ และทุ่มเทสุดๆ หากมีตรงนี้ไม่ว่าทำอาหารที่บ้านก็จะอร่อยได้” หญิงอายุ 74 ปี กล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจจุดขายร้านเจ๊ไฝ นอกเหนือเมนูอาหารสุดพิเศษคุณภาพตามราคาแล้ว ก็คงเป็นสไตล์การแต่งตัวและแว่นตาสุดเก๋ ซึ่งเจ๊ไฝ บอกว่า เป็นช่างตัดเสื้อมาก่อน จึงเป็นคนชอบแต่งตัว”

“อยู่หน้าเตามันร้อน จึงชอบใส่เสื้อยืดทำอาหาร ใส่รองเท้าบู๊ตและถุงเท้า เพื่อไม่ให้ลื่นและให้เท้าสะอาด สวมแว่นตากันลม เพราะเคยผ่าตัดตามาก่อน ตอนนั้นหมอบอกว่าให้พักและระวังฝุ่นควันเข้าตา จึงลองเอาแว่นตากันลมเข้าตาขี่มอเตอร์ไซค์ของสามีมาลองใส่ ปรากฏว่าใส่พอดี ลองใส่ทำอาหารไม่มีควันเข้าตาเลย ภายหลังจึงใส่มาตลอดจนเป็นเอกลักษณ์”

ตอนนี้ร้านมีชื่อเสียงระดับโลก ถนนทุกสายมุ่งเข้าหา หลายคนบินข้ามน้ำข้ามทะเลมายืนรอคิวหลายชั่วโมง เจ๊ไฝยินดีต้อนรับ แต่คงไม่ขยับขยายร้านแล้ว ขอทำตามกำลังที่จะทำได้ ก่อนส่งต่อให้รุ่นลูกสืบทอดร้านสตรีตฟู้ดชื่อดังแห่งนี้ ทั้งมองอนาคตร้านสตรีตฟู้ดไทยว่า

“อาหารไทยมีดี มีจุดให้พัฒนาต่อได้อีกมาก ยิ่งอนาคตมีสิ่งอำนวยความสะดวก การทำอาหารก็ง่ายขึ้น รสชาติก็ดี ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องทำเองทุกขั้นตอน เช่น ทำน้ำซุป ฉะนั้นมองว่า ลูกสาวน่าจะทำร้านนี้ต่อได้ ในแบบที่สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงร้านสตรีตฟู้ดอื่นๆ ที่คิดว่าต่อไปเพียงรถเก๋งคันเดียว ก็สามารถเปิดร้านขายอาหารได้” เจ๊ไฝ ทิ้งท้าย