หม่ำ จ๊กมก ตลกระดับตำนาน ผันตัวเข้าสังเวียนธุรกิจ ยึดแนวคิด ถ้าล้มลงก็ให้ชีวิตสมน้ำหน้า

“วันหยุดถ้าบ่มีงานกะสินอนเบิ่งหนังในเน็ตฟลิกซ์ บ่เกินหกโมงแลงกะสิกินข้าว บ่เกินสามทุ่มกะสิขึ้นนอน แต่ที่เว้ามาทั้งเบิ๋ดเดือนหนึ่งสิเฮ็ดจังซี่อยู่สามเทื่อ”

เราคุยกันเล่นๆ เป็นภาษาอีสานระหว่างนั่งรอช่างภาพจัดมุมกล้องให้เสร็จสรรพ หม่ำ จ๊กมก-เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ก็เล่าถึงเรื่องราวชีวิตประจำวันของเขาในช่วงวันหยุดพักผ่อนว่าวิธีการหลีกหนีจากหน้าที่เป็นแบบไหน 

ก่อนจะเชื่อมโยงเรื่องเล่าชีวิต ต่อด้วยแนวคิดการมีชีวิตอยู่ ก่อนจะตบท้ายด้วยบทบาทอีกมุมของคำว่า นักธุรกิจ

ชีวิตที่ไม่มีตัวเลข

หม่ำทำงานแบกของตามวงลูกทุ่งในกรุงเทพฯ มาตั้งแต่อายุ 17 ปี ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบพูด ชอบอำใครต่อใครต่างก็บอกว่าเขานั้นไม่เหมาะกับอาชีพแบกของ ชีวิตครั้งนั้นก็เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนเล็กๆ ได้ขึ้นแสดงตลกบนเวทีลูกทุ่ง

“ในตอนนั้นของวัย 17 ชีวิตมาจากแบกของตามวงลูกทุ่ง พอดีเป็นคนชอบพูด ชอบเล่น ชอบอำ ชอบร้อง ชอบลำ เขาก็บอกว่าคงไม่เหมาะกับมึงที่จะต้องใช้มาแบกของแบกตู้ลำโพง แป๊บเดียวก็ขึ้นเลยตลก”

“ซึ่งชีวิตของตลกทุกคนค่อนข้างที่จะมาจากล่างๆ ล่างมากๆ ด้วย แทบจะทุกคนเลยล่ะ อย่างผมก็อยู่ในลำดับล่างมากๆ ด้วย ไม่ใช่ศูนย์นะ ไม่มีตัวเลขด้วยซ้ำ มันเหมือนพรหมลิขิตของคนนั่นแหละแต่ละคนมันจะไม่เหมือนกัน ทุกสิ่งมันถูกกำหนดถูกสร้างมาให้มันเป็นแบบนี้”

“ตอนนั้นอยู่กับเมีย 2 คนชีวิตก็ไม่มีอะไรมาก ตลกในยุคนั้นก็ยังไม่เฟื่องฟูยังกระท่อนกระแท่นอยู่ ลูกสาวคนโตเกิดมาลำบากมากเสื้อผ้าก็ได้ไปขอเขามาใส่ ข้าวก็กินไม่เติมอิ่ม บางทีกินได้แค่ตอนเช้า กินได้อีกทีก็ 5 โมงเย็นเพราะเราไม่มีตังค์”

เขาเล่าต่อว่า พอหาเงินมาได้หน่อยก็ซื้อข้าว ซื้อปลากระป๋อง อะไรที่สามารถตุ้นได้ก็เอามาเก็บไว้ก่อน ประทังชีวิตให้รอดไปในแต่ละวัน ผ่านไป 2 ปีชีวิตก็ค่อยๆ ดีขึ้นจากการเล่นตลกไต่เพดานบิน สะสมประสบการณ์ทางอาชีพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“ในวันที่ได้ค่าตัวพันกว่าบาทตอนอยู่วงกับพี่เทพ โพธิ์งาม ตอนนั้นดีใจมาก ค่าตัวตอนนั้นอยู่ที่ 1,600-1,700 ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากเมื่อย้อนกลับ 36 ปีที่แล้ว”

“ผมเป็นคนที่รู้คุณค่าของเงินพอสมควร พอหาตังค์ได้ก็เริ่มซื้อทีวี ซื้อตู้เย็น ซื้อเทปวิดีโอมาดู และชีวิตการเป็นตลกก็เริ่มมา กลายเป็นตลกดาวรุ่งคณะเทพ โพธิ์งาม คนก็เริ่มรู้จักมากขึ้นในวัย 22 ปี ทุกอย่างมโหฬารมากยิ่งขึ้น ไปเล่นหนังบ้านผีปอบ ไปทำอะไรต่อมิอะไรเยอะ จนอายุ 24 ย่าง 25 ก็มาอยู่กับเวิร์กพอยท์ถึงปัจจุบัน”

“ชีวิตก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ทีละนิด ทีละนิด ทีละนิด”

ทุกอาชีพมีชีวิต

จากชีวิตที่นับว่าไม่มีตัวเลข ขยับขยายพาตัวเองมาอยู่ในจุดที่ดีที่สุด เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อมองย้อนกลับไปเรามักจะภูมิใจกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไม่ว่ามันจะดีอย่างสุดโต่งหรือแย่สุดตีน แต่ถึงกระนั้นเราก็กลับชื่นชมตัวเองแบบโอบกอดได้ เช่นเดียวกับหม่ำที่นึกย้อนตัวเองที่ผ่านมา

“ถ้าถามว่าภูมิใจไหมก็ภูมิใจ บางที…(นิ่งคิด) บางเรื่องก็อย่าไปคอยวาสนานะ แล้วก็อย่าหมิ่นเงินน้อย แล้วก็อย่าโทษโชคชะตา บางทีเราก็ต้องเดินหาโชคด้วยต้องเดินหาวาสนาด้วย ทุกอย่างมันค้ำจุนกันหมดนั่นแหละ ทั้งมันก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของคนด้วย แต่ทั้งหมดทั้งมวลผมว่ามันคือฝีมือล้วนๆ”

“ทุกวันนี้มีหลายคนที่หายไปจากหน้าจอ เพราะอะไร เพราะเพดานบินมันไม่เท่าเดิมถึงหายกันไป”

“โชคก็ใช่วาสนาก็ไม่เชิง แต่ภาพรวมที่ผมพูดคือฝีมือล้วนๆ”

เพราะคำว่าฝีมือคือจุดยุทธศาสตร์ที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะทำอะไรบนโลกนี้ แต่อื่นใดตัวตนและการพูดคุยกับอาชีพที่เราทำอยู่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรายืนหยัดอยู่ได้

“ตัวตนมันมี อย่าคิดว่าอาชีพของเรามันไม่มีชีวิตนะ มันมีชีวิตนะ ถ้าคนไม่คุยกับมัน มันก็จะทิ้งมึงไปทันทีเลยเพราะมึงไม่เคยคุยกับมัน”

“ทุกอาชีพตั้งแต่นักการเมือง พ่อค้าแม่ค้าเหมือนกันหมด ถ้ามึงไม่คุยกับมัน อย่าคิดว่าปลากระป๋องอันหนึ่งกูก็แค่ขายไม่ใช่นะมึงต้องคุยกับมันด้วยนะ เฮ้ย! รสชาติมึงดีขึ้นเหมือนเดิมไหม เอ พ.ศ. นี้ คนไม่อยากกินจืดแล้วมั้ง”

“เหมือนกัน ตลกก็เหมือนกัน ก็นั่งคุยกับกระจก วันนี้มึงเล่นขำเหมือนเมื่อวานนี้หรือเปล่า ต้องคุย ต้องรู้สึกกับมัน ต้องทำความคุ้นเคยกับมันทุกๆ วัน ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะหายมันก็จะลืมมึง เพราะมึงไม่เคยคุยกับมัน ทุกเรื่องแหละเหมือนกันทุกวงการ”

“อย่าว่าแต่อาชีพเลย โรคมันก็พัฒนา อย่างโควิดเราไม่เคยเจอมันก็ยังมาเลย”

ตัวตนเป็นราคา

นอกเหนือบทบาทของนักแสดง การเป็นนักธุรกิจก็ยังเป็นอีกเรื่องสำคัญในอีกช่วงหนึ่งของชีวิตหม่ำ เขาเริ่มทำน้ำปลาร้าหม่ำแซ่บที่ทำจากปลาทะเล เป็นสูตรที่เขาคิดค้นขึ้นมาจากรสชาติที่คุ้นเคยที่กินอยู่เป็นประจำ 

เขาเล่าว่า ชีวิตเขาใครที่มองเขามาก็จะเห็นก่อนว่าคืออะไร เป็นแบบไหน เขาจึงตัดสินใจทำสิ่งนั้นเพื่อสร้างมูลค่าให้กับตัวสินค้าเป็นราคาที่สามารถสร้างธุรกิจได้

“ส่วนนี้หน้าตาผมจะได้ก่อน เพราะถ้าหม่ำทำพิซซ่าคนก็อาจจะเอ๊ะ หน้าตาของหม่ำมันจะเป็นยังไงวะ”

“หน้าแบบหม่ำทำอะไรวะ ตำส้มตำ เออ ใช่ หม่ำทำอะไร หม่ำทำลาบ เออ ใช่ๆ”

“ถ้าหม่ำทำพาสต้า หน้าตามันจะเป็นยังไงวะ มะกะโรนีมันจะเป็นยังไงวะ คนนึกไม่ออกหรอก (หัวเราะ) ซึ่งที่พูดมามันต้องนึกก่อนมันคืออะไรวะ 

แต่ถ้าพูดเมื่อกี้ ไม่ต้องนึก ใช่เลย หม่ำกำลังนึ่งข้าวเหนียว เออใช่ ที่มันเป็นของเรามันจะง่ายมากกว่า สมมตินะ เหมือนเอาหน้าผมไปแปะ (เอามือประกบกัน) ข้าวเหนียวเขี้ยวงูตราคนอีสาน (ยิ้ม) คิดว่ามันใช่ไหมล่ะ ข้าวเหนียว กข ตราคนอีสาน เป็นหน้าผมแบบนี้ยังไงมันก็ต้องใช่

ข้าวบาร์เลย์ตราคนอีสาน นึกออกไหม (หัวเราะ) นึกไม่ออกหรอก ดังนั้น เราก็ต้องเลือกขายตรงที่มันใช่กับของเราด้วย เลือกที่จะทำด้วย เลือกที่จะขายของเราด้วย”

“สุดท้าย ถ้าเราจะทำธุรกิจก็ต้องทำในสิ่งที่เป็นหน้าตาเราด้วย เพราะจริงๆ แล้วเราทุกคนก็จ้องแต่จะทำเหมือนคนอื่น ดังนั้น เมื่อทำตามคนอื่น มึงก็ไม่มีทางเป็นตัวของมึงได้เลย เพราะมึงคิดแต่จะเอาคนอื่นมาเป็นไอดอล แล้วมึงไม่มีทางที่จะเป็นแผ่นครั่งของตัวเองได้ ถ้ามึงไม่คิดที่จะเป็นตัวของตัวเอง”

ทำซ้ำทุกวัน หาความรู้ใหม่

จากชีวิตของเด็กอีสานเมืองบั้งไฟ นิยามตัวเองว่าชีวิตของเขานั้น ไม่มีตัวเลข ถึงจุดหนึ่งเส้นเรื่องของชีวิตก็นำพามาเจอโอกาสของความเจริญ แต่ถึงกระนั้นสายป่านที่มีก็ยังไม่มีคำว่าพอต้องอาศัยการเรียน และรู้อยู่ทุกวัน ศึกษาหาข้อมูลให้กับตัวเองเสมอ

“จริงๆ แล้วถ้าคนมีสายป่านมันจะไม่ยากเท่าไหร่ แต่คนที่ไม่มีสายป่านนี่สิมันก็จะลำบาก ถึงบอกว่าทำไมคนถึงรวยมาก เพราะว่าเขาคิดได้เยอะมากกว่าเรา เขาสามารถรู้ได้ทันทีว่าลงเงิน 2 พันล้านภายใน 1 ปีกูต้องมีอีก 2 พันล้านแน่ๆ เขามีสายป่านเขาคิดได้”

“อย่างเราไม่มีสายป่าน ก็เพราะว่าเราไม่มีเงินขนาดนั้น”

“แต่ทุกคนมันเหมือนกันหมด ต่อให้ไม่ได้เรียนหนังสือ ธรรมชาติในตัวเราที่ได้เห็น ได้เรียนรู้ทุกวันๆ ก็จะพาเรามีสายป่าน ผมไม่ได้หมายความว่าคนมีความรู้แล้วจะคิดได้มากกว่าคนที่ไม่มีความรู้นะ”

“ลองมองกลับไป คนที่รวยส่วนใหญ่แทบจะเป็นคนที่ไม่มีความรู้ด้วยซ้ำ ไล่มาเลยเจ้าสัวทุกคนไล่มาเลย ป.4 จบหรือเปล่ายังไม่รู้ ป.7 จบหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย แต่ด้วยวิธีการที่เขาทำอยู่ทุกวัน เขาจะรู้ และมันจะบอกตัวเลขในทางความคิดของมันเอง”

“ตัวอย่างคือ เขาจะรู้ว่าเดือนนี้ขายตรงนี้น้ำปลาร้า 4 ขวด เดือนต่อมาขายได้ 14 ขวด แล้วถ้าไปตรงนู้นอีก 10 ขวด มันก็จะบอกด้วยตัวของมันเองโดยอัตโนมัติ (ทำท่ารวบอากาศเข้าหัว) ซึ่งจะรู้ราคาขวด ราคาสติกเกอร์ โดยไม่มีใครมาบอกมาจด แต่พอเติบโตขึ้นก็จะมีคนมาจดมาบันทึก”

“แต่ปัจจุบันพื้นฐานเราต้องเรียนเพื่อเอาไปต่อยอด และส่วนใหญ่คนที่เรียนเก่งๆ พอมาทำงานจริงไม่ได้ทำงานที่เราเรียนมาเยอะเลย เหมือนเจ้านายผมที่เวิร์คพอยท์ เขาก็ไม่ได้เรียนตรงสายกับงานที่ทำอยู่สักนิด”

“สังเกตได้พวกที่ตั้งใจเรียนฉิบหายเลย แต่พอมาทำงานจริงไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองเรียนมา ไม่รู้จะเรียนไปหาพ่อมึงทำไม (หัวเราะ) เปลืองเงินพ่อแม่เปล่าๆ มันก็แล้วแต่คนคิด”

ให้ชีวิตสมน้ำหน้า

ไม่ว่าจะทำสิ่งใดตามที่ใจปรารถนาหรือที่ตั้งใจไว้ แต่กลับผิดพลาดล้มเหลว เราทุกคนก็คงอยู่ในหุบเหวนั้นเพื่อลงโทษตัวเอง แต่สำหรับหม่ำ เขามองว่าชีวิตมันไปต่อได้ ถ้าล้มก็เพียงแค่ลุกเดินหน้าเข้าสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น

“อย่ารอวาสนา อย่ารอโชค ต้องเดินเข้าหามัน เดินเข้าไปเจอกับมัน ล้มก็ลุก ถอยหลังก็ถอยหลังให้มันเหมือน ไมเคิล แจ๊กสัน ให้มีทีท่าทีทาง ไม่ใช่ถอยแล้วหกล้ม ไม่เอา ถอยให้พลิ้ว (ทำท่าไมเคิล แจ๊กสัน) ตั้งหลัก ฮึบ แล้วค่อยมาเคป๊อปใหม่ ไม่ยาก (ยิ้ม)”

“ไปต่อได้ แต่อะไรก็แล้วแต่เหลือหน้าตักเอาไว้เพื่อที่จะได้คิดต่อ อย่าทุ่มลงหมด เพราะบางทีธุรกิจมันก็เหมือนการพนัน แต่มึงอย่าลงเต็มได้ไหม อย่างมีเงินอยู่ 10 ลงไป 2 บาทก่อนดีกว่า เผื่อพลาดมาจะได้เหลืออีก 8 บาทแล้วค่อยมาคิดใหม่ คิดให้ชัดๆ แล้วก็หาเงินเก็บให้มันได้ 2 มาเพิ่มให้ได้เท่าเดิมแล้วมาว่ากันใหม่”

“ครอบครัวจะได้ไม่ร้าว ชีวิตก็จะเดินต่อได้ ทำไมคนถึงเป็นซึมเศร้า เพราะมึงคิดอย่างนี้ไง ‘กูต้องได้’ แล้วมึงคิดไหมว่าถ้ามึงไม่ได้ล่ะ มึงคิดไว้หรือเปล่าว่ามันไม่ได้”

“ถ้ามึงไม่ได้คิด งั้นก็ให้ชีวิตสมน้ำหน้ามึง เราไม่ต้องสมน้ำหน้ามัน ให้ชีวิตของมันสมน้ำหน้าตัวมันเอง”