SASOM (สะสม) สตาร์ตอัปไทย ซื้อ-ขาย ของแรร์ไอเทม เติบโตจาก 1 สู่ 60,000 ออร์เดอร์

SASOM (สะสม) สตาร์ตอัปไทย ซื้อ-ขาย ของแรร์ไอเทม เติบโตจาก 1 สู่ 60,000 ออร์เดอร์

“ตอนผมไปอยู่อเมริกา ผมได้คลุกคลีอยู่กับการสะสมรองเท้า ซึ่งที่นั่นตลาดใหญ่มากๆ คนต่อแถวซื้อกัน 10-20 ร้าน ผมเองก็ไปต่อแถวกับเขาด้วย แต่ลำบากมาก บางวันแดดร้อน บางวันหนาวเจอหิมะตกอีก นอนป่วยไปหลายวัน แต่พอได้มาแล้วมันก็คุ้ม เพราะรองเท้ามันขายต่อได้ในราคาสูงขึ้น 2-3 เท่า”

คุณอ๋อง-กษิต งานทวี ที่ขณะนั้นยังเป็นนักเรียนไทยในอเมริกา เล่าถึงความลำบากของการเป็นนักสะสมว่า กว่าจะได้ของหายากแต่ละชิ้นนั้น ต้องใช้ทั้งความอดทนและความพยายาม มากไปกว่านั้นยังต้องมีความระมัดระวังในการซื้อขาย เนื่องจากมีของเลียนแบบ และมิจฉาชีพอยู่ในตลาดค่อนข้างเยอะ 

หลังจากคลุกคลีกับสิ่งที่ชอบ และมองเห็นถึงปัญหาที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ทำให้คุณอ๋องหันมาเริ่มต้นธุรกิจ และมองหาเพื่อนที่จะมาร่วมงานกัน

“เราทำบริษัทที่เป็นสตาร์ตอัปคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว เรารู้ว่าเราเก่งด้านไหน เราไม่เก่งด้านไหน เลยมองเห็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ลองไปถามพวกเขาดูว่าอยากทำไหม เรามีไอเดียนี้อยู่นะ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ SASOM (สะสม) ของพวกเรา” CEO และ Co-Founder ของ SASOM (สะสม) เล่าให้ฟัง

เริ่มธุรกิจจากคอนโดฯ ออร์เดอร์เพียง 2-3 ชิ้น 

SASOM (สะสม) เป็นแอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ที่ให้ลูกค้าเข้ามาซื้อขายของสะสม ของหายากทั้งมือหนึ่งและมือสอง ไม่ว่าจะรองเท้า ของแบรนด์เนม โดยเปิดให้ใช้งานครั้งแรกในปี 2019 

โดยในช่วงปีแรกนั้น บรรยากาศการทำงานยังเป็นเพียงบริษัทเล็กๆ ในคอนโดฯ ที่มีออร์เดอร์เข้าร้านเพียงวันละ 2-3 ชิ้นเท่านั้น

แต่ด้วยอุดมการณ์ของ SASOM (สะสม) ที่อยากจะสร้างพื้นที่สำหรับซื้อขายของสะสม ของหายาก ให้อยู่ในเรตราคาที่เหมาะสม รวมถึงเป็นตัวกลางในการตรวจสอบสินค้าให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ

“ในตลาดของสะสมต่างๆ มีของปลอมเยอะมาก ผมเองเคยโดนโกงมาก่อน ผมเลยมองว่า SASOM (สะสม) ควรเป็นที่ที่สามารถแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้ เราจึงมีการตรวจแท้-ปลอม ซึ่งนับว่าเป็นจุดเด่นของเราว่าจะมีการตรวจสินค้าทุกชิ้น

อีกเรื่องคือ ราคาตลาด ของสะสมต่างๆ เราจะไม่รู้เลยว่าราคาจริงมันเท่าไหร่ ไปร้านหนึ่งอาจจะขาย 20,000 อีกร้านขาย 30,000-40,000 บางทีเราไม่รู้เลย เราเลยต้องการเป็นพื้นที่ในการแสดงราคาตลาดให้ดูว่าราคาจริงของสินค้าคือเท่านี้ 

สุดท้ายคือ หาของยาก เราไม่รู้ว่าจะหาของหายากได้จากที่ไหน เราจึงจัดของทุกอย่างให้มาอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน”

“ส่วนที่มาของชื่อ SASOM (สะสม) มาจากการที่ผมอยากให้คนอื่นรู้ว่าเป็นของคนไทย เผื่อเราไปต่างประเทศจะได้รู้ว่าเป็นแอปพลิเคชันกับเว็บไซต์ของคนไทย และผมอยากทำให้ชื่อกว้าง ไม่ได้โฟกัสแค่รองเท้าอย่างเดียว แต่เป็นของสะสมอะไรก็ได้”

เจอสารพัดปัญหา เพราะประหยัดต้นทุน (Save Cost)

สินค้าแต่ละชิ้นที่ถูกนำมาขายบน SASOM (สะสม) บางชิ้นไม่ใช่แค่มีราคาสูง หรือหายาก แต่บางชิ้นก็มีคุณค่าทางจิตใจต่อลูกค้า ที่อยากได้ของที่ตนเองตามหามาครอบครอง ทำให้ทาง SASOM (สะสม) และตัวคุณอ๋อง ต้องคำนึงถึงการจัดส่งที่มีคุณภาพเช่นเดียวกัน

คุณอ๋อง เล่าว่า ในช่วงปีแรกๆ ของการทำธุรกิจ การประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับการส่งสินค้าเป็นสิ่งที่ยึดถือ แต่ถึงกระนั้นการลดต้นทุนทางการขนส่งก็ไม่ได้ตอบโจทย์สักเท่าไหร่ เนื่องจากตัวสินค้าเสียหายทำให้ราคาและคุณค่าถูกกลบลดลง

“ด้วยความที่เป็นสตาร์ตอัปใหม่ๆ ทุกอย่างต้องดูให้ดีมากๆ เราใช้ขนส่งเจ้าอื่นเพราะอยากเซฟคอสต์ ไม่อยากจ่ายในราคาแพงขึ้น แต่พอถึงจุดหนึ่งผมมองว่าการที่เราเซฟคอสต์เยอะๆ ทำให้ปวดหัวกว่าเดิม 

เราจะต้องเสียคอสต์ที่อื่นมาโปะตรงนั้น แปะตรงนี้ ยิ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ นั้นไปอีก ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้เคอรี่ ซึ่งตอนนั้นผมได้ยินพี่ๆ ที่เขาทำธุรกิจว่าใช้ Kerry Express ดีนะ รวมถึงเทคโนโลยีที่เขามีตอบโจทย์มากๆ เลยเปลี่ยนมาใช้ดูบ้าง”

“ถึงแม้ว่าเจ้าอื่นถูกกว่าเคอรี่ แต่ทำของหายบ้าง เข้ารับช้า ฝ่ายบริการลูกค้าโทรไม่ติด โทรบอกว่าวันนี้จะมาเข้ารับของ กลับกลายเป็นว่าไม่มา อีก 2 วันลูกค้าต้องรอ ติดต่อไม่ได้ เมื่อเทียบกับเคอรี่ ฝ่ายบริการลูกค้าทำงานดีมากๆ คอยให้คำแนะนำอยู่ตลอดเวลา ในส่วนนโยบายการประกันของเคอรี่ก็ค่อนข้างตอบโจทย์ดี เคลมสะดวก ไม่เคยมีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้”

“ซึ่งการที่เราขายของลิมิเต็ด ของแรร์ไอเทม บางชิ้นมีคุณค่าทางจิตใจเยอะ เราต้องมีพาร์ตเนอร์ที่เชื่อถือได้ และมั่นใจว่าจะส่งของถึงลูกค้าเรา

ลูกค้าเคยบอกว่า ถ้าเป็นเคอรี่จะรู้สึกอุ่นใจมากกว่า รู้สึกดี ซึ่งมันก็ตรงกับสิ่งที่เราขายเลย ของที่เป็นแรร์ไอเทม กับขนส่งที่มีแบรนดิ้งดีก็ทำให้อุ่นใจ”

พาร์ตเนอร์ดี ช่วยให้ทำธุรกิจง่ายขึ้น

ไม่เพียงแค่นั้น ในส่วนของเทคโนโลยีก็เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้การทำงานในระบบหลังบ้านรวดเร็วและตอบโจทย์มากที่สุด

“ปัจจุบันใช้เคอรี่มาประมาณ 2 ปี ที่ชอบที่สุดคือระบบหลังบ้าน หรือ API ของเคอรี่ เท่าที่ทำงานมาด้วยเป็นระบบที่เสถียรที่สุด ทีมเทคโนโลยีของผมเขาจะชอบเขียนโค้ดระบบต่อ API ของเคอรี่มากกว่าของเจ้าอื่น ตัวโค้ดค่อนข้างเข้าใจง่าย (หัวเราะ) วางมาดี ทำให้ทำงานง่าย 

และเคอรี่ก็ยังมีบริการอื่นๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อและผู้ขายของสะสม เช่น บริการดรอปออฟ (Drop-off) และ บริการรถเรียกรับ (Pick up) 

ทาง SASOM (สะสม) เรามีผู้ขายเยอะ แล้วผู้ขายไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่หนึ่ง เขาต้องการการขนส่งที่ไปได้ทุกที่ ตามความต้องการของเขา ไม่ว่าจะไปดรอปออฟสาขาไหน หรือเรียกรถเข้ามารับที่บ้าน เคอรี่ทำให้ได้หมด”

“แค่กดปุ่มประมาณ 2-3 ปุ่ม สามารถเรียกเคอรี่มารับได้เลย เลือกวันเวลา สานต่อกันเอง ระบบ Tracking ค่อนข้างดี เราจะรู้ตลอดของอยู่ตรงไหนแล้ว ดูผ่านแอปได้เลย ดีตรงที่ให้เรียลไทม์ อัปเดตถี่กว่าคนอื่น

และอย่างที่ผมบอก เราขายของแรร์ไอเทม ถ้ากล่องรองเท้าบุบไปนิดหนึ่ง มันจะทำให้ราคาตก ตั้งแต่มาใช้เคอรี่ รวมถึงการที่เราแพ็กแบบใหม่ด้วย เลยทำให้ไม่บุบ ไม่มีปัญหา ถ้าบุบแบบน่าเกลียดเคอรี่ก็มีประกันให้”

“อีกอย่างหนึ่ง ทาง SASOM (สะสม) มี Ready To Ship หรือสินค้าพร้อมส่ง ที่เยอะสุดในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นคนขายมาฝากไว้กับเรา ถ้าลูกค้าสั่งก่อน 16.00 น. เราสามารถส่งให้ได้ภายในวันนั้นเลย เคอรี่จะเข้ามารับแล้วส่งออกภายในวันนั้น ลูกค้าก็จะได้รับสินค้าค่อนข้างเร็ว”

SASOM (สะสม) วัยรุ่นอายุ 17 ที่พร้อมเติบโต 

พอถึงจุดหนึ่งของการทำธุรกิจ การเติบโตไม่ใช่แค่ความล้มเหลวหรือสำเร็จเท่านั้น แต่เป็นประสบการณ์ระหว่างทางของงาน ลงมือทำ ค่อยๆ สร้างให้มีความเข้มแข็งและมั่นคงได้ด้วยตนเอง ซึ่งก็คงไม่ต่างกับ SASOM (สะสม) ในช่วงวัยรุ่น

“ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก 

อย่างแรก ผมมองว่าการทำธุรกิจคือการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็กล้วนมีปัญหาทั้งนั้น แต่ถ้าเราแก้ปัญหาได้ ตลาดในการทำธุรกิจก็จะใหญ่ยิ่งขึ้น 

เราควรมี Growth Mindset มันจะสามารถพาเราแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ทำให้การทำธุรกิจง่ายขึ้น ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล แก้ไปเรื่อยๆ 

และผมก็ได้เรียนรู้ว่าตอนที่บริษัทมีแค่ 3 คน มาถึง 40 คน มันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราก็ต้องโตไปกับบริษัทให้ได้”

“ตอนนี้ผมก็มองว่า SASOM (สะสม) น่าจะวัยรุ่นอยู่เลย สักประมาณ 15-16 ปี หรืออาจจะ 17 ปี เขายังไปได้อีกไกล เพราะเราอยากขยายหมวดหมู่สินค้าให้มากขึ้น ไปต่างประเทศให้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราพยายามทำอยู่ (ยิ้ม)”

“สุดท้าย สำหรับคนที่อยากทำธุรกิจ ผมอยากให้เริ่มจากการเก็บสิ่งที่ชอบ สมมติชอบรองเท้าคู่หนึ่ง ซื้อมาก่อน แล้วเริ่มศึกษา 

เพราะถ้าซื้อสิ่งที่ชอบมันแล้ว เราจะไม่เสียดายถ้าราคาขึ้นหรือราคาลง ถ้าราคาขึ้นก็ดีใจ ราคาลงก็ไม่เป็นไร 

แต่ถ้าอยากเริ่มเข้าใจตลาดจริงๆ ดูคอนเทนต์ SASOM (สะสม) ก็จะช่วยสร้างความเข้าใจเราได้มากขึ้น 

การทำธุรกิจไม่ใช่แค่ตัวเราเองเท่านั้น แต่คือการมีพาร์ตเนอร์ มีเครือข่ายการค้าที่ช่วยสนับสนุนเราก็จะทำให้เราเติบโตมากขึ้น แต่ถ้าทำธุรกิจแบบ SASOM (สะสม) ต้องมีพาร์ตเนอร์ที่ค่อนข้างแข็งแรง อย่าง #KerryexpressThailand ก็ช่วยกันมาทำให้เติบโตได้ค่อนข้างดีทีเดียว

#KerryExpressThailand #TeamKerry