เจ้าของธุรกิจน้ำหอมชื่อดัง สายสล้าง เปิดร้านเพียง เสาร์-อาทิตย์ ออร์เดอร์ปังสูงสุด 200 ขวดต่อเดือน

จากประสบการณ์ทำงานแบรนด์น้ำหอมระดับโลก สู่เจ้าของธุรกิจน้ำหอมชื่อดังของไทย เปิดร้านเพียง เสาร์-อาทิตย์ ออร์เดอร์ปังสูงสุด 200 ขวดต่อเดือน

“เรามองว่าเราโชคดีนะ ที่เราได้เจอสิ่งที่เรารักในการทำงาน แล้วมันก็ต่อยอดมาเป็นร้านเราในวันนี้”

หากพูดถึงการทำธุรกิจแน่นอนว่าใครหลายๆ คน ก็คงอยากที่จะออกจากงานประจำ เพื่อไปตั้งต้นเริ่มทำธุรกิจเป็นเจ้านายตัวเอง แต่ไม่ใช่สำหรับ คุณใหญ่-สายใจ สายสล้าง เจ้าของแบรนด์น้ำหอม สายสล้าง ที่ได้ไอเดียชื่อแบรนด์มาจากนามสกุลของตัวเอง เพราะอยากให้แบรนด์เปรียบดังบ้านหลังหนึ่งที่เป็นครอบครัว

“น้ำหอมมันไม่ใช่เรื่องแค่บุคคล มันเป็นเรื่องหลายๆ อย่าง ทั้งสถานที่ ครอบครัว เหมือนเราได้เข้าไปในสายสล้างเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมันมีกลิ่น มีประสบการณ์ มีสถานที่ มีผู้คนมากมายเต็มไปหมด”

จนกระทั่งเมื่อ 8 ปีที่แล้ว จากสิ่งที่คิดว่าชอบกลับกลายมาเป็นแพชชัน ทำให้รู้สึกว่า ทำไมถึงไม่ทำน้ำหอมเป็นของตัวเอง จึงเริ่มทำเทสเตอร์น้ำหอม เพื่อให้คนรอบข้างและเพื่อนร่วมงานเทสต์กลิ่น ทุกคนต่างเชียร์ให้ผลิตออกมาจำหน่าย กลายเป็นจุดเริ่มต้นเปิดร้าน สายสล้าง จนถึงปัจจุบัน

คุณใหญ่-สายใจ สายสล้าง เจ้าของแบรนด์น้ำหอม สายสล้าง

เปิดร้านเรียงร้อยเรื่องราว

การเปิดร้านที่จตุจักรในช่วงแรก มีการตกแต่งร้านค่อนข้างเยอะ บวกกับส่วนผสมของน้ำหอมค่อนข้างมีราคา จึงใช้เงินลงทุนไปถึง 5 หลักปลายๆ สิ่งที่คิดมีเพียงความต้องการให้ตอบโจทย์ความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรเป็นสิ่งใหม่ นอกจากนำสิ่งที่มีมาเรียงร้อยใส่ความเป็นตัวตนและเรื่องราวในแบรนด์ของตัวเอง

“ในโลกนี้มันไม่มีของใหม่หรอก เราต้องจับเอาสิ่งที่มีมาผสมประกอบให้เป็นชิ้นงานใหม่ ฉะนั้น สิ่งที่เราเห็นกลิ่นที่เรารู้จัก เราเคยรู้จักมาก่อน อยู่ที่เราจะหยิบมาปัดฝุ่นประกอบร่าง ใส่ความเป็นตัวเราเข้าไปอย่างไร ให้กลายเป็นงานชิ้นใหม่”

“ด้วยความที่มันเป็นแพชชัน เมื่อเราชอบและรักสิ่งนี้ เราจะรู้สึกว่าเราไม่ได้กำลังลงโทษตัวเอง แต่เรากำลังทำสิ่งที่เป็นความฝัน ซึ่งเราไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ ตราบใดที่มันตรงกับความรู้สึกของเรา ยังไงเราก็คิดว่ามันใช่“

“ในส่วนของน้ำหอมมันค่อนข้างเป็นนามธรรม มันเป็นความรู้สึก ฉะนั้น ความรู้สึกมันไม่มีราคาว่าต้องถูกหรือแพง มันจับต้องไม่ได้นอกจากกลิ่น นอกจากแพ็กเกจจิ้ง ในแง่นี้เราเลยค่อนข้างใช้เงินลงทุนไปเยอะมาก”

จุดเด่นของร้านสายสล้าง คือการเป็นร้านน้ำหอมเดียวในจตุจักร ที่ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์โดยตรงจากนักปรุงน้ำหอม ซึ่งสามารถถ่ายทอดเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของน้ำหอมออกมาเป็นศิลปะที่ไม่ซ้ำร้านน้ำหอมไหนๆ นอกจากนี้ ลูกค้ายังได้ทดลองกลิ่นน้ำหอมของร้าน ก่อนวางตลาดอีกด้วย

“เรามองว่ามันคืองานคราฟต์ ซึ่งน้ำหอมแต่ละขวดเมื่อเป็นงานคราฟต์ แต่ละรุ่นที่เราผลิตมามันก็จะมีคาแร็กเตอร์ไม่ซ้ำกัน เพราะมันคือการทำทีละรอบ ทีละขวด ทีละครั้ง มันก็จะมีความเฉพาะตัว”

“ลูกค้าที่มาร้านจะได้เจอเรา ได้เทสต์กลิ่นที่ยังไม่วางตลาด กลายเป็นความพิเศษเฉพาะแบรนด์ ซึ่งเราคิดว่ายังไม่เจอในที่ไหน ที่ได้รับการทดลองกลิ่นก่อนจะวางตลาด” 

กลิ่นความทรงจำ

คอนเซ็ปต์สายสล้าง คือกลิ่นที่ประสบการณ์ชีวิตกับจินตนาการมาบรรจบกันที่ปลายจมูก นั่นหมายความว่าเมื่อเริ่มปรุงกลิ่น จะมีต้นทุนเป็นความทรงจำ ถึงสถานที่ผู้คนหรือแม้กระทั่งช่วงเวลา ที่กักเก็บรวบรวมไว้ในขวดน้ำหอม สายสล้าง

“สมมติว่าเราทำกลิ่นที่ชื่อเวียงพิงค์ เราก็จะไปตำหนักเจ้าดารารัศมีที่แม่ริม เราได้กลิ่นดอกกุหลาบ เราได้กลิ่นตำหนักไม้ เราได้กลิ่นต้นหญ้า เราได้กลิ่นแสงแดด เราได้กลิ่นของความเป็นชาวเชียงใหม่ เราได้กลิ่นบางอย่างที่เป็นผู้หญิงที่บอกว่าเขาเป็นผู้หญิงที่สูงศักดิ์” 

“พอเราเริ่มได้กลิ่นต่างๆ ที่เป็นต้นทุนเป็นวัตถุดิบในชีวิตของเรา เราก็จะเริ่มหยดส่วนผสมต่างๆ ที่บ้าน พอหยดเสร็จแล้วเราจะกลับไปที่แห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเทสต์กลิ่นตัวต้นแบบประมาณ 4-5 ขวด”

“แต่ละกลิ่นจะใช้เวลาไปกับมัน จนกระทั่งรู้สึกว่ากลิ่นไหนที่มันเซตตัวแล้วมันใช่ บางที่ไปเป็นรอบที่ 6-7 แต่ละรอบที่ไปใช้เวลา 2-3 วันนะ” 

“อย่างดอยอ่างขางแบบนี้ พี่ก็ไปนอนม่อนสนที่ดอยอ่างขางจังหวัดเชียงใหม่ ไปนอนนานเป็นอาทิตย์ ไปแล้วกลับมาหลายรอบ เพื่อที่เราจะได้จับความรู้สึกโมเมนต์ของตรงนั้นให้ตรงกับความรู้สึกของเรามากที่สุด”

เมื่อได้กลิ่นที่ต้องการ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการผลิตน้ำหอมแห่งความทรงจำ ด้วยความที่เป็นงานคราฟต์ คุณสายใจ เล่าว่า แต่ละรอบกลิ่นจะมีความเปลี่ยนแปลง 1-2% ซึ่งเป็นเรื่องปกติของงานคราฟต์ที่เป็นซิกเนเจอร์ 

สายสล้าง เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของน้ำหอม ในบางช่วงสามารถสร้างออร์เดอร์ได้ถึง 200 ขวดต่อเดือน และยังมีฐานลูกค้าที่เป็นคนไทยถึง 90% แวะเวียนกลับมาเป็นประจำ อีกทั้งลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาที่ร้านจะใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง เพื่อตามหากลิ่นที่เป็นตัวตนของตัวเอง

และในปัจจุบันนี้แบรนด์สายสล้าง มีน้ำหอมทั้งหมด 23 กลิ่น กลิ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาล 2 อันดับแรกจะเป็น กลิ่นดอยอ่างขาง และกลิ่นเชียงคาน ซึ่งคุณสายใจ เล่าว่า น้ำหอมของร้านเมื่อฉีดรวมกันจะทำให้เกิดกลิ่นใหม่ เปรียบเสมือนการแต่งตัวที่แต่งเพื่อค้นหาตัวตนของตัวเอง 

“เราค่อนข้างตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการกลิ่นพิเศษเฉพาะตัว เราเป็นแบรนด์ที่สนับสนุนให้ลูกค้าผสมกลิ่นด้วยตัวของเขาเอง คุณจะใช้ 2-3 กลิ่น ผสมก็ได้ เหมือนการแต่งตัวที่เราสามารถใส่เสื้อผ้า 4-5 แบรนด์ได้ในเวลาเดียวกัน”

ในส่วนของขนาดและราคา จะมีอยู่ทั้งหมด 2 ขนาดคือ ขนาด 30 มิลลิลิตร ราคา 680 บาท และขนาด 60 มิลลิลิตร ราคา 980 บาท หากสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ คุณสายใจไม่คิดค่าบริการส่งอีกด้วย

ไม่ใช่พรสวรรค์แต่เป็นแพชชัน

พรสวรรค์เป็นแค่คำนิยามที่เกิดจากแพชชัน เมื่อมีแพชชันผู้คนล้วนแล้วจะมีความสุขสนุกไปกับสิ่งนั้น

“หลายๆ คนชอบเรียกว่าพรสวรรค์ แต่เรามองว่านั่นคือความชอบนั่นคือรสนิยม เมื่อเรามีความชอบมีแพชชันกับมัน เราก็จะอยู่กับมันได้นานขึ้น เราจะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายสิ่งที่เรากำลังทำ มันก็กลายเป็นว่าเหมือนทุกคนมองว่านั่นคือพรสวรรค์ทำให้เราชอบดมกลิ่น”

“ไม่ เรามองว่านั่นคือแพชชันคือความสุข เมื่อเราทำสิ่งนั้นด้วยความสุขมันก็จะทำได้เรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้สึกเบื่อหน่าย เราสามารถดมกลิ่นได้ทั้งวันโดยที่เราไม่เหนื่อย มันเลยทำให้เราไปต่อยอดเป็นสิ่งที่เรารักและเราชอบไปเรื่อยๆ”

แต่อย่างไรก็ตาม แพชชันอย่างเดียวไม่สามารถจะนำพาไปสู่ความสำเร็จได้ ถ้าหากขาดการลงมือเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรียนรู้ที่จะฝ่าฟันอุปสรรค

“ถ้าแพชชันเดี่ยวๆ มันทำให้เราไม่รอด เราต้องมีแพชชันและเราก็ต้องมีโพรเซส ซึ่งมันจะทำให้ชีวิตเราไปได้ในทิศทางที่ต้องการ พี่มองว่าธุรกิจมันมีโอกาสและอุปสรรคในเวลาเดียวกัน”

ความท้อและอุปสรรค สายสล้าง

ธุรกิจและอุปสรรคเป็นของคู่กัน เป็นบททดสอบเพื่อย้ำเตือนให้ธุรกิจที่พร้อมปรับตัวได้อยู่ต่อ สายสล้างก็เป็นอีกแบรนด์ที่ฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงโควิด-19 จนผ่านมาได้จนถึงปัจจุบัน

“เราเจออุปสรรคตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกลิ่นที่เราเป็นงานคราฟต์ ส่วนผสมก็ไม่เหมือนเดิมเพราะต้นทุนมันสูงมากกลิ่นก็เลยเปลี่ยน ทำให้เราต้องมานั่งปรับสูตรเพื่อให้กลิ่นใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด”

“ที่สุดแล้วกลับมาถามตัวเรา ถ้าจะวิ่งหนีปัญหาเราก็ต้องวิ่งหนีไปเรื่อยๆ ถ้าไม่แก้มันเราก็ต้องแก้มันอยู่ดี เมื่อเราสู้กับมันเต็มที่ไม่มากก็น้อยมันก็ต้องดีขึ้น แต่มันจะดีขึ้นแบบไหน ดีขึ้นเมื่อไหร่มันอยู่ที่ตัวเรา”

“ถ้าคุณทำธุรกิจอะไรก็ตาม คุณเจออุปสรรคเป็นเรื่องปกติ อุปสรรคแปลว่าคุณมีข้อจำกัด และข้อจำกัดแปลว่าถ้าคุณเอาชนะข้อจำกัดนั้นได้ คุณก็จะสำเร็จ”

ชีวิตที่ลงตัว 

เชื่อว่าการเปิดร้านในวันหยุดวันเสาร์-อาทิตย์ ของคุณสายใจ ทำให้เกิดคำถามมากมายกับหลายๆ คน ว่าสามารถที่จะดำรงกิจการได้อย่างไรในยุคที่รายจ่ายมากกว่ารายรับ คุณสายใจ เล่าว่า

เราอาจจะโชคดีด้วยละ เพราะว่าเราไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอื่น เราไม่มีรถต้องผ่อน ไม่มีบ้านต้องผ่อน เราอยู่ตัวคนเดียวดูแลแค่แม่ เมื่อรายจ่ายของเราไม่เยอะ มันเลยกลายเป็นว่าเราไม่จำเป็นที่ต้องทำอะไรมากมาย เราจึงออกจากงานประจำโดยที่ไม่ได้คิดอะไรซ้ำซ้อนมากมายไปกว่านั้น”

“คนที่เขามีเงินเดือนเพราะเขามีรายจ่ายที่สูงมาก บางคนผ่อนบ้านผ่อนรถ เครดิตการ์ด เราหาได้ 100 บาท ก็ใช้ 10 บาท มันเลยกลายเป็นว่าเราอยู่แค่เสาร์-อาทิตย์ เราเคยทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์มาแล้วตอนอยู่แบรนด์ใหญ่ๆ เราไม่อยากทำงานบ้าบอคอแตกแบบนั้นอีกแล้ว” 

“เรารู้สึกว่าทำไมชีวิตมันโหดร้ายจังวะ แล้วมันเป็นเหตุผลที่เราทำแบรนด์ของเราเอง เราไม่อยากกดดัน เราไม่อยากเหน็ดเหนื่อยแบบนั้น เราไม่อยากทำงานเป็นบ้าเป็นหลังอีกแล้ว เราเคยผ่านจุดนั้นไปแล้ว แล้วเราจะไม่กลับไป” 

“แล้วที่สำคัญ เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกถึงความกดดัน เราอยู่ในสิ่งที่มันต้องครีเอทีฟ ต้องสร้างสรรค์ ความรู้สึกดีกับลูกค้าเราจะสร้างไม่ได้เลยนะ” 

“ตอนที่ทำน้ำหอมบางกลิ่นแล้วมันกดดันเรื่องงาน กลิ่นที่ได้มามันก็ไม่ดีนะ มันกลายเป็นกลิ่นที่เราไม่แฮปปี้มากๆ จนเราต้องปรับสูตรใหม่ กว่าที่เราจะเปลี่ยนเป็นกลิ่นที่เราสบายใจขึ้นมันต้องใช้เวลานะ”

“เหมือนเราเป็นนักแต่งเพลง ถ้าเราอารมณ์ไม่ดีนะเพลงก็ไม่เพราะ แต่งไม่จบ มันจะวังวนอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ ฉะนั้น เมื่อเราออกจากงานประจำแล้ว เราจึงไม่ได้รู้สึกที่จะต้องกลับไปทำงานประจำอีกเลย ฉันขออยู่กับความสบายใจดีกว่า ถ้าเลือกความสบายใจเป็นสิ่งแรกทำแบรนด์นี้เหมือนกัน ก็คือเลือกความสบายใจของตัวเราเป็นสิ่งแรกก่อนเลย” 

ถ่ายทอดประสบการณ์อิสระ

โลกของการทำธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น อยู่รอดไปจนถึงขั้นสำเร็จ ทุกเส้นทางที่ก้าวย่อมมีประสบการณ์กลับคืนมอบเป็นใบปริญญาบัตรให้ชีวิตเสมอ เช่นเดียวกับคุณสายใจ ที่พร้อมจะถ่ายทอดประสบการณ์ของโลกธุรกิจ เพื่อเป็นประโยคและแนวทางในการทำธุรกิจของใครหลายๆ คนต่อไป

“สิ่งแรกเลย เราทำอะไรก็ตามเราต้องมีแพชชันกับมัน เพราะว่าถ้าเรามีแพชชันต่อให้สิ่งนั้นมันไม่ได้ประสบความสำเร็จ แต่มันก็ไม่ล้มเหลวนะ มันแค่ยังไม่เติบโต เหมือนที่เราทำร้านนี้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ช่วง 5 ปีแรกมันก็ไม่เติบโต แต่มันก็ไม่ล้มเหลวเพราะอะไร เพราะเราไม่ล้มเลิก เราเจออุปสรรค เราเจอข้อจำกัด เจอปัญหาหลายอย่างมาก แต่เมื่อเราไม่ล้มเลิกมันก็จะไม่ล้มเหลว”

“ฉะนั้น คนที่จะทำธุรกิจอะไรก็ตาม เริ่มที่คุณต้องมีแพชชันกับมัน แล้วถามตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งชีวิตคุณไม่เหลืออะไรแล้วคุณเหลือแค่สิ่งนี้คุณโอเคมั้ย เพราะถ้าคุณโอเคกับสิ่งนี้นั่นแปลว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณจะไม่ทิ้งมัน และถ้าคุณไม่ทิ้งมัน มันจะสำเร็จ เพียงแค่วันนี้มันยังไม่สำเร็จเท่านั้นเอง”

“เมื่อถามว่ามี ฮาวทู อะไร เรามองว่า คุณต้องมีแพชชันอันแรงกล้ากับมัน แต่แพชชั่นอย่างเดียวไม่พอ คุณต้องศึกษาสิ่งที่คุณชอบ อย่างคุณชอบเรื่องกลิ่นคุณต้องดมกลิ่น คุณต้องศึกษาแต่ละแบรนด์ในแง่ของเทรนด์การตลาด ว่าช่วงนี้ตลาดเขาดมกลิ่นอะไร ลูกค้าเราคือใคร เราจะขายเท่าไหร่ ขายให้ใคร คุณต้องเขียนแผนธุรกิจ ถึงแม้คุณจะไม่เขียนออกมาเป็นโครงสร้างที่ชัดเจน แต่คุณต้องมีแผนการทำธุรกิจอยู่ในหัว ศิลปินแบบ 100% ทำธุรกิจไม่รอด” 

“ฉะนั้น คุณจะต้องมีทักษะทั้ง 2 เรื่อง ทั้งเรื่องการค้าและความสร้างสรรค์เรื่องกลิ่น ซึ่งอันนี้มันมาจากประสบการณ์ที่เราโชคดี ที่เราได้ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งเรามีประสบการณ์มาทั้ง 2 ด้าน”

“พอเราทำแบรนด์เราจึงปรับตัวได้เร็วเมื่อเราเป็นแบรนด์เล็ก และที่สำคัญ เมื่อเราเริ่มทำธุรกิจเราไม่จำเป็นที่จะต้องทำเรื่องใหญ่โตให้สำเร็จ เราทำเรื่องเล็กๆ ให้สำเร็จก่อน แล้วก็แก้ปัญหาเล็กๆ ไปเรื่อยๆ”

“เมื่อคุณแก้ปัญหาเล็กๆ ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งปัญหาใหญ่ๆ มันก็จะน้อยลง เพราะปัญหาใหญ่ๆ บางทีมันมาจากปัญหาเล็กๆ หลายๆ ปัญหารวมกัน อดทน พี่ใช้คำนี้เสมอ อดทน ปลูกต้นไม้กว่ามันจะได้ร่มเงาก็เป็นปีๆ ถ้าคุณปลูกถั่วงอกตอนเช้ามันก็เป็นต้นละ แต่ว่ามันให้ร่มเงาคุณไม่ได้”

“ฉะนั้น เมื่อคุณจะต้องใช้สิ่งนี้อยู่กับคุณทั้งชีวิต คุณต้องอดทน คุณต้องดูแล แล้วคุณต้องปรับตัว เพื่อให้ต้นไม้ที่คุณปลูกมันให้ร่มเงาได้ในเวลา 5-20 ปี และที่สำคัญ กลับมาคำตอบเดิมคือ แพชชัน เพราะในการทำธุรกิจวันหนึ่งคุณก็จะเบื่อ” 

“ถ้าคุณมีแพชชัน ต่อให้คุณไม่สนุกกับมันแล้ว คุณจะไม่เบื่อ ไม่ล้มเลิกแพชชัน แปลว่าสิ่งนั้น คุณจะอยู่กับมันโดยที่คุณไม่ทิ้งมันไป เมื่อคุณไม่ทิ้งมันไปมันก็จะไม่ทิ้งคุณ” 

ใครสนใจอยากสัมผัสประสบการณ์เรื่องราวการเดินทางของน้ำหอมที่น่าหลงใหล สุดสัปดาห์นี้สามารถชวนเพื่อนและคนที่รักเปิดประสบการณ์ ได้ที่ร้าน SAISALANG Scent Surrounding จตุจักร โครงการ 19 ซอย 7/4 ห้อง 255 ทุกวันเสาร์-อาทิตย์

 

เผยแพร่เมื่อ อังคารที่ 4 เมษายน 2566