คู่รักโบกมือลาเมืองใหญ่ กลับมาตั้งตัวที่บ้านเกิด ด้วยคาเฟ่-โฮมสเตย์ กลางทุ่ง

คู่รักโบกมือลาเมืองใหญ่ กลับมาตั้งตัวที่บ้านเกิด ด้วยคาเฟ่-โฮมสเตย์ กลางทุ่ง

เมื่อต้องเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ ใช้ชีวิตห่างไกลบ้านนานหลายปี ย่อมทำให้โหยหาและคิดถึงคนในครอบครัว คุณวรเชษฐ์ กิติวัง หรือ อาร์ม และ คุณเพ็ญวิสาข์ บุญศรี หรือ แพร จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ หิ้วกระเป๋า และเงินเก็บก้อนสุดท้าย กลับบ้านเกิดจังหวัดเชียงราย พร้อมลงหลักปักฐานเปิดคาเฟ่กลางทุ่งนาที่เคยแห้งแล้งให้มีชีวิตอีกครั้ง ชื่อว่า “บ้านทุ่งรุ่งอรุณ” ก่อนต่อยอดสู่โฮมสเตย์ ที่ออกแบบและลงมือสร้างกันเองอย่างสวยงาม

“ผมและแพร ย้ายจากเชียงรายมาทำงานในกรุงเทพฯ ผมทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อะไหล่ในบริษัทเครื่องจักรอุตสาหกรรมการเกษตรมา 7 ปีแล้วครับ ส่วนแพรเป็นเซลส์ประจำคลินิกเสริมความงาม รายได้ถือว่าดีเลยครับ รวมกันเดือนละ 60,000 กว่าบาทได้

แต่งานก็มาพร้อมความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นครับ จนเราทั้งคู่ไม่มีเวลาให้กัน ทั้งๆ ที่อยู่บ้านเดียวกัน และการพาตัวเองเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ ห่างไกลบ้านนานๆ ทำให้เราคิดถึงครอบครัว อยากกลับไปดูแลพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เลยตัดสินใจลาออก ไม่เสียดายเลยครับ เพราะอิ่มตัวมากแล้ว” คุณอาร์ม เกริ่นให้เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ฟัง

คาเฟ่กลางทุ่ง สร้างจากสองมือเรา

ความฝันลึกๆ หลังออกจากงานของคุณแพร คือการเปิดโฮมสเตย์ และร้านขนมเล็กๆ โดยคุณอาร์ม อาสาเล่าให้ฟังว่า “เรามีผืนนาของคุณตาที่ปลูกข้าว เลี้ยงหมูกว่า 50 ตัว เราอยากใช้ที่ตรงนี้ทำโฮมสเตย์ แต่ทางบ้านไม่เห็นด้วย เพราะบ้านเราเป็นชุมชนเล็กๆ ห่างไกลความเจริญ ห่างจากตัวเมือง 80 กิโล แถมอยู่ท้ายหมู่บ้าน ใครมาจะพัก มาดูแล เลยเปลี่ยนมาทำคาเฟ่ก่อน ทุกคนโอเค ให้ลองทำสักตั้ง ทำไปพร้อมกับเลี้ยงหมูเลย ถ้าคาเฟ่ดีค่อยๆ ลดการเลี้ยงหมู และเราขอเวลาพิสูจน์ตัวเอง 1 ปี ถ้าไม่รอด เดี๋ยวกลับไปทำงานเหมือนเดิม” 

คุณอาร์มและคุณแพร ใช้เวลา 6 เดือนสร้างคาเฟ่ โดยช่วยกันลงแรงลงมือกับคนในครอบครัวและพี่ๆ ในชุมชน คุณอาร์ม บอกว่า “เรามีทุนติดตัวมา 300,000 บาท ดูเหมือนเยอะ แต่เงินจำนวนนี้รวมทุกอย่างตั้งแต่การดำรงชีพหลังว่างงานตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. ไปจนถึงภาระหนี้ การซื้ออุปกรณ์ชงกาแฟ และการสร้างร้าน ที่เริ่มสร้างจริงๆ เมื่อต้นเดือน ต.ค. ด้วยงบที่จำกัดโครงสร้างร้านเราจึงเป็นไม้ไผ่ที่หาและตัดกันเอง” 

เมื่อสร้างคาเฟ่เสร็จแล้ว ในส่วนของเมนู คุณแพรรับหน้าที่ทำเค้ก คุณอาร์มดูแลเครื่องดื่ม โดยยึดมั่นว่าจะไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“คาเฟ่เราขายเค้กโฮมเมดเป็นหลัก ตอนแรกทำไม่เป็นเลยค่ะ ไม่ได้ลงคอร์สด้วยเพราะทุนไม่เยอะ อาศัยดูสูตรจากยูทูบแล้วฝึกทุกวัน ตู้อบมีอยู่แล้วเคยซื้อไว้นานมาก ทำทิ้งไปเยอะเหมือนกันค่ะ จนวันแรกที่เปิดร้านทำขนมเป็นแค่ 3 อย่าง คือ เค้กส้ม บราวนี่ ช็อกโกแลตหน้านิ่ม แล้วค่อยๆ ขยับขยาย ปัจจุบันมี 6-7 เมนูหมุนเวียนหน้าร้าน ตอนแรกไม่มีตู้โชว์เค้กด้วยค่ะ ใส่ตู้เย็นลูกค้าก็ไม่เห็นหน้าเค้ก เวลาลูกค้าสั่งก็โชว์ป้ายเมนูเอา ราคาเริ่มต้น 59-98 บาท” คุณแพร อธิบาย

ส่วนเครื่องดื่ม คุณอาร์ม เผยให้ฟังว่า “ผมก็คิดว่าจะเอาเครื่องชงกาแฟที่ไหน เพราะงบเราน้อย เลยหาในเฟซบุ๊ก เจอน้องคนหนึ่งประกาศขายเครื่องมือสอง 9,900 บาท ราคาสูง ผมก็ต่อจนเหลือ 7,800 บาท น้องเขาอยู่เชียงใหม่ ผมก็บอกน้องตรงๆ ว่า ผมลาออกจากงานมาเปิดคาเฟ่ แต่ไม่มีความรู้เรื่องชงกาแฟ ตอนไปรับเครื่องน้องเลยช่วยสอนวิธีการใช้ การตีฟองนม การบด แล้วก็กลับมาฝึกชงเองครับ จนได้เครื่องดื่มเสิร์ฟลูกค้า ราคาเริ่มต้นแก้วละ 50-65 บาท”

ยอดขายวันแรกดีเกินคาด 

ด้วยไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว คุณแพรและคุณอาร์ม ใช้วิธีการเล่าสตอรี่ร้าน ตั้งแต่เริ่มหาวัสดุ ไปจนถึงการสร้างร้านลงเพจเฟซบุ๊ก จนเมื่อเปิดบริการจริงก็ได้ลูกค้าที่คอยติดตามเรื่องราวตามมาอุดหนุน ทำให้ยอดขายวันแรกเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้เยอะมาก คุณแพร บอกว่า “ได้สัก 500 บาท ก็ดีใจแล้ว แต่วันแรกเราได้ 3,000 กว่าบาทค่ะ รถจอดล้นถนนหน้าบ้านเลย เปิดถึง พ.ย-ธ.ค. คาเฟ่เริ่มลงตัว ถึงขายหมูที่เลี้ยงไว้จนหมด แล้วให้ครอบครัวมาช่วยกันดูแลร้าน และมีพนักงานพาร์ตไทม์มาช่วยด้วย เป็นลูกๆ หลานๆ กัน”

ส่วนบรรยากาศ ด้วยตั้งอยู่กลางทุ่งนา ถ้ามาในช่วงตั้งแต่ ก.ค.-ต.ค. ท้องนาจะสวย เขียวชอุ่ม มากๆ หลังจากนั้นจะมีหมอก อากาศเย็น และแม้จะเข้าช่วงแห้งแล้ง ก็ไม่คิดโละผืนนาเป็นแปลงดอกไม้ เพราะอยากนำรายได้มาพัฒนาร้านให้ดีขึ้น ที่ทำไปแล้วคือเปลี่ยนพื้นไม้ไผ่เป็นพื้นปูน และเปลี่ยนหลังคาห้องน้ำ

“มีท้อบ้างครับ ทำธุรกิจไม่ใช่แค่วิ่ง 100 เมตรแล้วจบ แต่คือการวิ่งมาราธอน มีบางวันเราขายได้แค่ 105 บาท ต่ำสุดเลย ซึ่งเราทั้งคู่เข้าใจว่ามันคือการค้าขาย เราก็ให้กำลังใจกันตลอด ท้ายที่สุดแล้ว เราดูรายได้ต่อเดือน ปัจจุบันหลักแสนบาทครับ หักแล้วเหลือ 40,000-50,000 บาท ถ้าช่วงเทศกาลรายได้จะสูงกว่านี้ เคยพีกสุดวันละ 10,000 กว่าบาทครับ” คุณอาร์ม แชร์ให้ฟัง

โฮมสเตย์ หลังแรก ที่ภูมิใจ

จากคาเฟ่ ในที่สุด คุณอาร์มและคุณแพรก็ได้เปิดโฮมสเตย์ตามใจหวัง โดยเปิดรับลูกค้าเมื่อต้นปีที่ผ่านมา “ผมออกแบบเองครับ ไม่ได้เรียนมา แต่เป็นคนชอบเขียนชอบดู เลยลองเอาปากกามาวาดดู แล้วขับรถไปหาคุณลุงในหมู่บ้านเขาเป็นช่างก่อสร้าง บอกเขาว่าผมอยากมีบ้านแบบนี้ ทุกคนคิดภาพไม่ออก เลยไปหาเศษไม้ทำโมเดลให้คุณลุง ถึงเข้าใจกัน” คุณอาร์ม เล่าด้วยความตั้งใจ

ถามถึงฟีดแบ็กของลูกค้าที่เข้ามาพัก คุณอาร์ม บอกว่า “มีทั้งส่วนที่ต้องปรับปรุง เช่น ห้องน้ำไม่มีที่แขวนผ้าเช็ดตัว ผมก็รีบหาให้ พี่ๆ ที่มาพักส่วนใหญ่ เป็นคนที่ตามเรามาตั้งแต่เปิดคาเฟ่ จากเชียงราย เชียงใหม่ นนทบุรี กรุงเทพฯ ครับ”

ด้านคุณแพร เสริมว่า “เราสองคนไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้เร่งรีบว่าคิวต้องเต็มทั้งปี เราอยากทำงานให้มีความสุข ไม่ต้องห่วงอะไรมาก คนดูแลทำความสะอาดก็คือคุณแม่ เลยไม่ได้เปิดให้จองทุกวันค่ะ” 

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงการทำงานในปัจจุบัน คุณแพร บอกว่า “เรามีความเครียดน้อยลง มีความสุขมากขึ้น ตื่นมาเจอทุ่งนาสีเขียว อากาศสดชื่น ไม่ต้องขับรถเบียดเสียดอยู่บนถนน 2-3 ชั่วโมง และการที่เล่าหรือแชร์เรื่องลงเพจ ก็เป็นเหมือนกำลังใจ เป็นพลังบวกกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน รวมถึงตัวเราเองด้วย”

และแผนในอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คุณอาร์ม ตอบว่า “เราคุยกัน อยากทำโฮมสเตย์เพิ่มอีก 1 หลัง เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มครอบครัว อีกอย่างเราอยากให้พื้นที่นี้ได้พัฒนาไปในทิศทางที่เป็นตัวของตัวเอง สามารถสร้างงานให้คนในพื้นที่ได้

ซึ่งปัจจุบันมีคาเฟ่เปิดเพิ่ม ผมมองเป็นเรื่องดี เพราะช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียน เราได้ถนนใหม่ผ่านหน้าร้าน และผมอยากเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงในการพัฒนา ตั้งแต่ที่เรากลับมาบริเวณนี้ไม่มีไฟฟ้า ผมเลยเป็นตัวแทนรวบรวมเอกสาร ร่วมกับชาวบ้านที่มีพื้นนาในละแวกกว่า 60 ราย ขอไฟฟ้าใช้ ตอนนี้กำลังจะมีไฟใช้แล้ว ปัจจุบันเราต่อไฟจากเสาไฟต้นสุดท้าย ท้ายหมู่บ้านครับ”

ติดตามรายละเอียดหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ บ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันพฤหัสที่ 8 กันยายน พ.ศ.2565