เรื่องโดย : มิสมิลเลียนแนร์

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในธุรกิจค้าปลีกอย่างมาก โดยเฉพาะการซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่กลายเป็นช่องทางสำคัญ และกำลังฉายแสงบดบังรัศมีการช็อปปิ้งในร้านค้าจริงๆ มากขึ้น

แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนและทุกสินค้าที่จะเต็มใจอยู่ในโลกออนไลน์ เพราะยังมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ชอบสัมผัสสินค้าจริงๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ และสินค้าบางประเภทก็ต้องอาศัยมนต์เสน่ห์ของการมีหน้าร้านสำหรับเรียกแขก

เว็บไซต์ smartcompany ของออสเตรเลีย ได้นำเสนอเทรนด์ร้านค้าปลีกที่จะเกิดขึ้นในปี 2560 ซึ่งไม่เพียงสะท้อนอุตสาหกรรมค้าปลีกในออสเตรเลีย แต่ยังรวมถึงเทรนด์ในส่วนอื่นๆ ของโลกที่ไม่น่าจะแตกต่างกันมากนัก

หัวใจสำคัญของธุรกิจค้าปลีกในปี 2560 อยู่ที่ประสบการณ์ของผู้บริโภค ซึ่งจะกลายเป็นความจริงที่จับต้องได้มากขึ้น โดยมุ่งเน้นที่การสร้างประสบการณ์ในร้านค้า และตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแต่ละกลุ่มหรือแต่ละคน

เทรนด์แรก คือ ร้านค้าปลีกที่ครบครันความบันเทิง หรือ Retailtainment ซึ่งเป็นการผนวกกันระหว่างการเป็นร้านค้าปลีก และแหล่งรวมความบันเทิง ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ให้กับบรรดานักช็อป ทั้งในเรื่องความสนุกสนาน ความบันเทิงเริงใจ และช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคยอมผละจากการช็อปปิ้งออนไลน์จากที่บ้าน ออกไปทำกิจกรรมในร้านค้าปลีกแทน

ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะหันมาปรับตัวด้วยการบวกความบันเทิงมากขึ้น ซึ่งจะต้องคิดหาโมเดลที่สามารถดึงให้ผู้บริโภคยอมออกมามีส่วนร่วมกับทางร้านได้ โดยดึงเอาไลฟ์สไตล์ของผู้คนไปใส่ไว้ในร้าน เหมือนกรณีของร้านกาแฟแบบเก๋ๆ หรือการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านโลกเสมือนจริง เช่น ร้านเสื้อผ้าที่นำเทคโนโลยีห้องลองเสื้อไฮเทคมาช่วยคัดสรรเสื้อผ้าที่เหมาะกับลูกค้า โดยไม่ต้องเสียเวลาลองหลายชุด หรือเปลี่ยนหลายสี

เทรนด์ต่อมา คือ ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล น่าสนใจว่า แม้เทรนด์นี้จะเกิดขึ้นมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ยังคงมีความสำคัญต่อธุรกิจค้าปลีก

เมื่อดูข้อมูลจากบริษัทแอคเซนเจอร์ อินเตอร์แอ๊กทีฟ พบว่า ราว 56 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากร้านที่จดจำชื่อของพวกเขาได้

ที่จริงตลอดหลายปีมานี้ ร้านค้าปลีก ก็พยายามตีโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มหรือบุคคล แต่เทคนิคเดิมๆ อย่างการพูดคุยโดยตรงกับลูกค้า กลายเป็นเรื่องล้าสมัยและธรรมดาในสายตาผู้บริโภค ซึ่งขณะนี้มองหาประสบการณ์เฉพาะมากขึ้น และเป็นความท้าทายสำหรับร้านค้าปลีก

ตัวอย่างของร้านประเภทนี้ในออสเตรเลีย ได้แก่ ชูส์ ออฟ เพรย์ (Shoes of Prey) ร้านขายรองเท้าตามสั่ง ที่ลูกค้าสามารถเข้าไปออกแบบ 3 มิติในเว็บไซต์ เลือกรูปแบบ สี ขนาด ความสูง แต่ตอนนี้ร้านอื่นๆ ก็หันมาในแนวทางนี้ รวมถึง อีซี่บาย (EziBuy) ที่นำเสนอรองเท้าหลากหลายรูปแบบที่มีทางเลือกให้ลูกค้าที่ต้องการสไตล์เฉพาะตัว

 

เทรนด์ที่ 3 ร้านค้าปลีกจะมีขนาดเล็กลง ส่วนร้านไซซ์ใหญ่ๆ จะหายไป แม้แต่ห้างค้าปลีกรายใหญ่อย่างทาร์เก็ต เคมาร์ต และไพรซ์ไลน์ ก็ลงทุนกับสาขาไซซ์เล็กมากขึ้น เพื่อนำเสนอสินค้าแบบคัดสรรให้สอดคล้องความต้องการของผู้บริโภคกว่าเดิม ไม่จำเป็นต้องท่องคาถาอลังการ เพราะต้องการใส่สินค้าทุกสิ่งทุกอย่างไว้รองรับผู้บริโภคกลุ่มต่างๆ ซึ่งกลายเป็นทำให้ลูกค้าต้องเสียเวลาเดินเลือกหานานโดยไม่จำเป็น

ผลพลอยได้อีกเรื่องที่ร้านค้าปลีกจะได้จากโมเดลไซซ์เล็กคือ การประหยัดต้นทุนในการเปิดร้านและบริหารจัดการ เพราะจะใช้พื้นที่ไม่มากนัก จึงมีศักยภาพที่จะผุดสาขาแบบมินิในพื้นที่ย่านกลางเมืองที่มีผู้คนหนาแน่นได้

เทรนด์ที่ 4 ร้านจำหน่ายสินค้าเฉพาะอย่างจะได้รับความนิยมมากกว่าห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าหลายประเภท เช่น ร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม

ที่ผ่านมา ห้างสรรพสินค้าในออสเตรเลียมียอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะกระแสพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออีคอมเมิร์ซ และร้านค้าเฉพาะ ซึ่งกรณีของร้านค้าเฉพาะจะต้องนำเสนอประสบการณ์ภายในร้านให้โดนใจลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นพนักงานที่มีความรู้ ราคาที่เหมาะสม และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละคน

เทรนด์สุดท้าย โฟกัสสินค้าที่มีคุณภาพและดูแลโลกอย่างยั่งยืน เพราะลูกค้าสมัยนี้ต้องการรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าที่ตัวเองซื้อมากขึ้น ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบไปจนถึงกระบวนการผลิต ทำให้ร้านค้าต้องตระหนักถึงความโปร่งใสและความยั่งยืนมากกว่าเดิม

นอกจากนี้ คาดว่าเหล่านักช็อปอาจจะเรียกร้องให้ร้านค้าเปิดเผยการทำงานภายในมากขึ้น รวมไปถึงการที่ทั่วโลกขยับไปในแนวทางยั่งยืนมากขึ้น ร้านค้าปลีกจึงจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องจริยธรรมและสิ่งแวดล้อม

 หากร้านค้าปลีกเข้าใจเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2560 ก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะตอบสนองความท้าทายและความคาดหวังของผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

 ที่มาภาพ

http://blogs.cisco.com

https://www.shoesofprey.com

http://images.dailykos.com

https://media.truelocal.com.au