เผยแพร่ |
---|
จากกรณี การโปรโมตแคมเปญโฆษณา ลาซาด้า 5.5 ของ “นารา เครปกะเทย” ที่แสดงร่วมกับ หนูรัตน์ ธิดาพร ชาวคูเวียง ซึ่งรับบทคนนั่งรถเข็น จนเกิดกระแสวิจารณ์ว่าพาดพิงบุคคลในลักษณะก้าวล่วงสถาบัน และเป็นการล้อเลียนลักษณะทางร่างกายที่เกิดจากความเจ็บป่วย
ต่อมา สินค้าจำนวนมากต่างแบนการซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มนี้ รวมถึง 3 เหล่าทัพ ได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ที่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นพร้อมทั้งมีคำสั่งห้ามรถส่งสินค้าของลาซาด้าเข้าเขตทหาร
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าตรวจสอบเว็บไซต์และแพลตฟอร์มที่นำเสนอโฆษณาด้านการตลาดในลักษณะก้าวล่วงสถาบันของลาซาด้าและที่คล้ายกันว่า ขณะนี้เรากำลังรวบรวมพยานหลักฐานและทำงานร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ซึ่งได้ดำเนินคดีไปแล้ว
เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ ได้พูดคุยกับทาง อ.พลชัย เพชรปลอด นักการตลาด และยังเป็นคอลัมนิสต์ ประจำเส้นทางเศรษฐีออนไลน์ ถึงกรณีวิเคราะห์ ถ้าหาก “ต้องปิดแพลตฟอร์ม ลาซาด้า” ใครกันที่ได้-ใครกันที่เสีย และลูกค้าอย่างเราๆ จะได้อะไร
มุมอารมณ์ ทุกเรื่องมี 2 ฝัก 2 ฝ่ายทั้งนั้น แต่ถ้า ปิดแพลตฟอร์มไป คู่แข่งเหมือนส้มหล่นใส่ การงัดแคมเปญรายเดือนมาสู้กัน ก็คงเบาลง เพราะไม่มีใครมาแข่งด้วย ขายปกติได้ ทำตัวดีๆ ไม่สร้างความสะเทือนใจให้สังคม ก็เดินเดี่ยวไปสบายๆ
แต่ในที่สุด ก็จะมีรายใหม่เกิดขึ้น…จริงๆ แล้ว การมีคู่แข่งในตลาดเป็นเรื่องดีกับผู้บริโภค
หากมองในฝั่งผู้ค้าขายบนลาซาด้า เมื่อต้องโดนปิดไป ก็คงจะใช้เวลาพอสมควร ที่จะสร้างฐานลูกค้ารายใหม่ บนแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่าง ช้อปปี้ นำไปสู่ยอดขายที่ไม่สูงนักในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ธุรกิจต้องหาทางดึงผู้บริโภค จะขายแพงตามใจชอบก็ไม่ได้ เกิดการคานกัน ผู้บริโภคได้ประโยชน์ ดูที่ผ่านมาจากแคมเปญพิเศษปีละครั้ง กลายเป็นทุกเดือน แล้วก็ยังมีพิเศษซ้อนพิเศษ