อดีตแรงงานพม่าในไทยกลับบ้านเกิด เปิดร้านอาหารรวยกันเป็นแถว

 

ในพม่านั้นมีเมืองใหญ่ๆ อยู่ 3 เมือง อันดับแรกคือ นครย่างกุ้ง ตามด้วยมัณฑะเลย์ และมะละแหม่ง คนที่นั่นเรียกกันว่า เมาะลำไย (Mawlamyine) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ เมาะลำเลิง อันเป็นเมืองเอกของรัฐมอญ มีประชากรกว่า 2 ล้านคน ซึ่งผสมผสานกันทั้งมอญ ยะไข่ กะเหรี่ยง ปะโอ ชาน แขก และจีน โดยใช้ภาษาพม่าเป็นภาษากลาง

ที่นี่อยู่ใกล้กับอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นั่งเครื่องบินจากสนามบินแม่สอดไปแค่ 25 นาทีเท่านั้น ซึ่งเมื่อปีก่อนทางนกแอร์เคยเปิดเส้นทางบินระหว่างแม่สอด-มะละแหม่ง แต่ปีนี้ได้ข่าวว่ายกเลิกเส้นทางดังกล่าวแล้ว หลายคนเสียดายเพราะเป็นการอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจทั้งไทยและพม่า

ร้านอาหารทะเลของหนุ่มพม่า

ด้วยความที่อยู่ใกล้กันนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนจากมะละแหม่งจะเข้ามาทำงานในเมืองไทยจำนวนมาก และเมื่อพม่าเปิดประเทศพวกเขาก็เดินทางกลับ โดยนำวิชาความรู้และประสบการณ์การทำงานจากเมืองไทยไปทำมาค้าขายกันจนร่ำรวย ขยายกิจการใหญ่โต เชื่อว่าอีกไม่กี่ปีพวกเขาจะเป็นเถ้าแก่กันอย่างแน่นอน

หลายวันก่อนได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับบริษัท เอเชีย วัน แทรเวล แอนด์ ทัวร์ (โทรศัพท์ (087) 842-8031 และ (093) 137-8600) ของ “คุณฐิติพร กาสมสัน” ซึ่งเป็นบริษัททัวร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องพม่าเป็นพิเศษ เนื่องจากทำทัวร์ประเทศนี้ตั้งแต่พม่ายังปิดบ้านปิดเมืองอยู่ คุณฐิติพรได้นำลูกทัวร์ไปรับประทานอาหารอร่อยๆ ทั้งที่เป็นอาหารพื้นเมือง อาหารทะเล และอาหารไทย

ในส่วนร้านอาหารทะเลอยู่ที่ทะเลเซดเซ ริมทะเลอันดามัน เมืองตากอากาศ ยุคอังกฤษปกครองพม่า ที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมืองมะละแหม่งไกลทีเดียว เส้นทางช่วงแรกออกจากเมืองก็เป็นถนนลาดยางอย่างดี หลังจากนั้นบางช่วงเป็นถนนลูกรัง จึงใช้เวลาเดินทางนานมาก 3-4 ชั่วโมง ดีที่ว่าระหว่างทางแวะสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ด้วย

img_8467

น้องสาว แม่ คุณซัน-ลูกสาว และน้องชาย

เมื่อไปถึงทะเลเซดเซ พวกเราได้ไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านของ คุณซัน หนุ่มพม่า ที่พูดภาษาไทยได้ค่อนข้างดี เพราะเคยมาทำงานที่เมืองไทยมาก่อนตั้งแต่เขาอายุ 19 ปี ตอนนี้เจ้าตัวอายุ 41 ปีแล้ว

คุณซัน เล่าว่า เคยไปทำงานตัดยางที่เกาะช้าง 5 ปี จากนั้นเปลี่ยนมาทำงานในเรือ 5 ปี แล้วเดินทางกลับมาอยู่บ้านแถวทะเลเซดเซ เนื่องจากมีครอบครัว และตอนนี้มีลูกสาวคนหนึ่งอายุ 7 ปี

กิจการร้านอาหารทะเลนี้เป็นของครอบครัวคุณซัน ขณะที่เขาก็มีอาชีพเสริมอีก นั่นคือ ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

“ร้านอาหารของผม มีพ่อแม่ น้องสาว และน้องชายมาช่วย เพราะน้องสาวไม่มีสามี น้องชายก็ไม่มีเมียด้วย เลยให้มาทำร้านอาหาร เปิดมา 6 ปีกว่าแล้ว ชื่อร้าน อะนาวา ลงทุนไปหลายแสนจ๊าด (1,000 บาท เท่ากับ 25,000-28,000 จ๊าด) โดยนำเงินที่เก็บไว้มาทำ ที่ร้านขายดีมาก มีคนมากินทุกวัน ส่วนมากมากินกันตอนบ่าย-เย็น ลูกค้าเป็นชาวพม่า นักท่องเที่ยวอเมริกันและไทย ที่นี่มีร้านผมเป็นร้านใหญ่อยู่ร้านเดียว”

img_8456

 

คนพม่าชอบเที่ยวทะเลเซดเซ

ร้านนี้เป็นกิจการของครอบครัวจริงๆ ช่วยกันทำทั้งหมด 5 คน โดยน้องสาวกับน้องชายของคุณซัน เป็นคนทำกับข้าว

สำหรับอาหารจานเด็ดที่ลูกค้าชอบสั่งก็มี กุ้งผัดพริก หรือจะผัดอะไรก็ได้ รวมทั้งปลาหมึกผัดกับอะไรก็ได้เช่นกัน

ด้วยความที่อยู่ติดกับทะเลเซดเซ ร้านนี้จึงเน้นอาหารทะเลเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาหารที่ร้านก็ไม่แพง อย่างแพงสุดตกจานละประมาณ 5,000-6,000 จ๊าด เป็นเมนูปู จะมีตั้งแต่ 3-5 ตัว ราคา 5,000 จ๊าด แล้วแต่ขนาด กุ้งผัดพริก 6 ตัว ราคาตกประมาณ 5,000-6,000 จ๊าด ถือว่าไม่แพง

ร้านอาหารของคุณซันนั้น แม้จะใหญ่แต่ก็ไม่ได้หรูหราอะไร เป็นแบบเรียบๆ มีโต๊ะเก้าอี้ 12 โต๊ะ โต๊ะหนึ่งนั่งได้ 6 คน กิจการของเขาแม้จะลงทุนไปหลายแสนจ๊าดแต่ตอนนี้เจ้าตัวบอกคืนทุนแล้ว

“คนไทยมากินเยอะ ถ้าลูกค้าไม่กินผงชูรส เราก็ไม่ใส่ให้ อาหารทะเลอย่างปู ปลา กุ้ง ไปซื้อที่อีกจังหวัด ไม่ไกลเท่าไร เพราะทะเลเซดเซไม่มีกุ้ง ปลาตัวใหญ่ๆ แล้ว คนพม่านิยมมาเที่ยวที่นี่กันทุกวัน ซึ่งคนพม่านิยมกินอาหารนอกบ้าน คือมาเที่ยวแล้วก็มากินด้วย ร้านเปิดตั้งแต่ 06.00 น. เวลาปิดไม่แน่นอน แล้วแต่ลูกค้า”

คุณซัน เล่าว่า ที่ร้านอาหารขายเบียร์พม่าขวดละ 2,000 จ๊าด รสชาติดี และยังขายเบียร์สดของพม่าด้วยยี่ห้อ เมียนมาร์ ซึ่งคนพม่าชอบดื่ม ส่วนเบียร์ช้างของไทยไม่ได้ขาย

img_8474

บรรยากาศร้านของคุณซันยามค่ำคืน

อย่างที่บอก กิจการร้านของเขาขายดีมาก จึงคิดจะขยายร้านต่อไป เพราะเริ่มมีนักท่องเที่ยวไทยเข้ามาเที่ยวเพิ่มขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้นักท่องเที่ยวอเมริกันมีมากกว่า

มื้อเย็นวันนั้น พวกเราต่างสนุกสนานกับการทานปลา กุ้ง ปลาหมึก และปู ในหลากหลายเมนู ซึ่งทานกันจนพุงกาง เพราะอาหารทะเลเหล่านี้สดจริงๆ กุ้งตัวใหญ่ยักษ์เป็นกุ้งมังกร ปูก็เนื้อหวานอร่อย

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากนอนพักค้างคืนในรีสอร์ตริมทะเลเซดเซ คุณซันและพรรคพวกมอเตอร์ไซค์รับจ้างของเขาก็มารับพวกเรานั่งซ้อนไปเที่ยวหมู่บ้านชาวประมงใกล้ๆ ที่พัก

เขาเล่าถึงอาชีพเสริมของเขาว่า “รถที่ใช้ยี่ห้อฮอนด้า เป็นรถมือสอง ซื้อมา 70,000 กว่าจ๊าด ซื้อเงินสด ส่วนรายได้ต่อวัน มีทั้งได้และไม่ได้ ถ้าได้ตกประมาณ 10,000 กว่าจ๊าด ได้น้อยสุด 5,000-6,000 กว่าจ๊าด ขี่รับจ้างอยู่แถวๆ นี้ และก็มีอีก 2 คันให้คนอื่นขี่ เพื่อเป็นรายได้เสริมให้พ่อแม่เก็บ”

ก่อนจบบทสนทนากันนั้น เขาแนะนำว่า ถ้านักท่องเที่ยวไทยมาที่ทะเลเซดเซ ขอแนะนำให้ซื้อปลาหัวยุ่ง ซึ่งเป็นปลาที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ไว้ใช้ทำต้มยำหรือทอดก็ได้

 

นศ. ตั้งชื่อให้ “ONLY THAI FOODS”

ส่วนร้านอาหารไทยในมะละแหม่งที่พวกเราได้ไปทานกันคือ ร้าน ONLY THAI FOODS ซึ่งมี คุณซันดา วัย 37 ปีและสามี เป็นเจ้าของ

คุณซันดา เล่าว่า เคยทำงานร้านอาหารที่ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เมื่อปี 2539 ตอนแรกล้างจานก่อน เพราะพูดไทยไม่ได้ จากนั้นมาช่วยในครัว แล้วทำหน้าที่ยำ พร้อมกับหน้าที่จัดเตรียมของให้คนปรุง ทำได้ 6-7 ปี ช่วง 3 ปีแรก ทำงานแล้วก็กลับบ้าน 1 ครั้ง จากนั้นกลับไปทำงานอีกครั้ง กระทั่งมีแฟนซึ่งเป็นกะเหรี่ยงเหมือนกัน อยู่ในเมืองไทยอีก 4 ปี  ซึ่งพอเบื่อการทำงานที่ร้านอาหารก็ไปทำงานเป็นแม่บ้าน พอดีมีลูกจึงกลับมาที่มะละแหม่งได้ 6-7 ปีแล้ว

เธอว่า ตอนอยู่เมืองไทย ช่วงแรกได้เงินเดือนแค่เดือนละ 2,500 บาท พอเปลี่ยนเป็นแม่บ้านได้เงินเดือน 8,000 บาท จากนั้นกลับมาเลี้ยงลูกที่มะละแหม่ง ซึ่งตอนนี้มีลูก 3 คน อายุ 13 ปี 6 ปี และ 4 ปี

img_8691

“ตอนกลับมามะละแหม่งคิดขึ้นมาได้ว่า ที่นี่ยังไม่มีคนเปิดร้านอาหารไทย อย่างน้อยตัวเองก็มีวิชา เลยลองเปิดดู ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทยก็มี คนญี่ปุ่นก็มี แล้วก็คนเกาหลี ไม่รู้เหมือนกันว่านักท่องเที่ยวรู้จักร้านได้ยังไง แต่เคยได้ยินคนพูดกันว่า ร้านนี้สะอาด อร่อย และราคาถูก”

ในการทำร้านอาหารนั้น คุณซันดา บอกว่า ช่วงแรกตั้งร้านอยู่ริมถนนหน้ามหาวิทยาลัยมะละแหม่ง อยู่ห่างจากตัวเมือง 3 กิโลเมตร ชื่อร้าน “ONLY THAI FOODS” เพราะเป็นร้านที่นักศึกษามานั่งทาน และบอกว่าจะเรียกชื่อร้านชื่อนี้  เลยทำให้คนทั่วไปรู้จักชื่อนี้ คนพม่าเองก็เรียกร้าน THAI FOODS ร้านนี้เป็นร้านที่ต้องเสียค่าเช่าให้กับทางราชการวันละ  300 จ๊าด ซึ่งถือว่าถูก เพราะแผงลอยเป็นข้างถนน

ส่วนร้านใหญ่โตที่พวกเราคณะสื่อมวลชนจากแม่สอดมานั่งทานข้าวกลางวันกันในตัวเมืองมะละแหม่งนี้ เธอว่า เป็นที่ดินของเจ้านายคนหนึ่งที่เธอเคยทำงานเป็นแม่บ้านให้ตอนสมัยเด็กๆ เขาเห็นว่าขายดี เลยออกเงินให้มาซื้อที่ดินสร้างร้าน แล้วให้ผ่อนใช้

img_8675

ที่ดินผืนนี้ คุณซันดาบอกซื้อได้ไม่แพง เปิดร้านเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ถือเป็นสาขาที่ 2 ของร้าน “ONLY THAI FOODS” ส่วนร้านแรกก็ยังขายเหมือนเดิม ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษา จึงขายในราคาไม่แพง

“นักศึกษาไม่ค่อยจะมีเงิน เลยขายถูกๆ จานหนึ่งแค่ 1,000 จ๊าด มันเป็นร้านเล็กๆ จะขายอาหารไทยหมดเลย แต่ละเมนูจะไม่ได้ทำมาก เมนูที่คนชอบสั่งจะมีต้มยำหมู ต้มยำทะเล ต้มยำหัวปลา ราคาส่วนใหญ่อยู่ที่ 1,500 จ๊าด ตกประมาณ 50 บาท”

img_8684

คุณซันดา และสามี 

ใช้ประสบการณ์จากเมืองไทย

วันที่เราไปทานอาหารมื้อกลางวันที่ร้าน “ONLY THAI FOODS” สาขา 2 นั้น ปรากฏว่าคนแน่นมาก ดีแต่ว่าทางคุณฐิติพรจองไว้เรียบร้อยแล้ว ร้านนี้มีถึง 31 โต๊ะ จุคนได้กว่าร้อยคน เปิดขายตั้งแต่ 08.00 น. เป็นต้นไป มีพนักงาน 9 คน

“ลูกค้าส่วนใหญ่มีทั้งคนไทย คนญี่ปุ่น และคนเกาหลี ไม่รู้เหมือนกันว่านักท่องเที่ยวรู้จักร้านได้ยังไง แต่เคยได้ยินคนพูดกันว่า ร้านนี้สะอาด อร่อยและราคาถูก ลูกค้าชอบมากินช่วงเย็น ส่วนคนที่นี่ตอนเช้าจะสั่งส้มตำกินเลยมีทั้งส้มตำปู ส้มตำปลาร้า ส้มตำไทย ซึ่งคนพม่าจะชอบกินส้มตำปลาร้า โดยพวกเราใช้ความรู้จากเมืองไทยมาทำร้านอาหารที่นี่ เพราะแฟนเคยทำงานในร้านหมูกระทะที่สมุทรปราการ เรื่องย่างไก่จะเป็นหน้าที่ของแฟน”

img_8689

บรรดาพนักงานในร้าน

สาวแม่ลูกสามแจกแจงสิ่งที่ได้นำประสบการณ์จากเมืองไทยมาใช้นั้น เป็นเรื่องความสะอาด เรื่องคุณภาพอาหารและความมีน้ำใจกับลูกค้า ส่วนเรื่องกำไรเอาแค่พออยู่ได้

“เราเป็นคนจน แค่ขอมีงานทำและได้กินก็พอใจแล้ว ทุกวันนี้ยึดหลักนี้ในการทำร้านอาหาร”

ใครไปมะละแหม่ง ขอแนะนำให้ไปทานที่ร้าน “ONLY THAI FOODS” รับรองไม่ผิดหวัง ที่สำคัญ จะได้ทานอาหารทะเลสดๆ ใหม่ๆ ในราคาไม่แพง และถ้าไม่รู้ว่าใครทำ ความจริงอาจจะเผลอคิดว่าเจ้าของร้านเป็นคนไทยแน่นอน เพราะรสชาติอาหารเหมือนทานในบ้านเราอย่างไรอย่างนั้น