วิกฤตซัดธุรกิจ OEM หันสร้างแบรนด์ตัวเอง ขายเค้กนุ่มดีลิเวอรี่ หารายได้เข้าบริษัท 

จากโรงงานผลิตอาหารและเบเกอรี่ รับ OEM ให้แบรนด์ชั้นนำต่างๆ มานาน 10 ปี วันนี้เมื่อวิกฤตมา เพื่อความอยู่รอดและประคับประคองลูกน้อง จึงต้องปรับตัวมาสร้างแบรนด์ของตัวเอง นำอาหารและเค้กนุ่มแช่แข็ง มาจำหน่าย ในร้านมอลลี่เค้กนุ่ม ตั้งแต่การระบาดรอบแรก 

คุณมอลลี่-มลฤดี​ สัมพันธ​า​รักษ์ เจ้าของบริษัท บองอาร์ทพะทิช จำกัด เล่าให้เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ฟังว่า ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ในวงการข่าว และเดินทางไปเรียนต่อด้านเชฟ จากนั้นกลับมาทำธุรกิจร่วมกับหุ้นส่วนอีกสองท่าน คือ คุณพัชรินทร์​ สกุล​ชัยพรเลิศ และคุณมนสุภ​า​ ไสยสุข ในปี 2011 ได้เปิดโรงงานผลิตอาหารและเบเกอรี่ ภายใต้ บริษัท บองอาร์ทพะทิช จำกัด ตั้งอยู่ย่านรัชโยธิน เป็นครัวกลางรับผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่างๆ ในกลุ่มร้านอาหารและร้านกาแฟ โดยสินค้าของบริษัท เน้นแช่แข็ง ใช้งานง่าย ลดปัญหาการสูญเสีย เพื่อให้ลูกค้าบริหารจัดการหน้าร้านได้ง่ายและสะดวกที่สุด

“โดยส่วนใหญ่บริษัทครัวกลางคืออุตสาหกรรมใหญ่ แต่เราเป็น SMEs ตัวเล็กๆ ข้อดีของเราคือ ยืดหยุ่นออร์เดอร์ได้ ลูกค้าไม่ต้องสั่งออร์เดอร์ใหญ่ และได้งานโฮมเมดด้วย”

มาถึงจุดวิกฤตโควิดรอบแรก แบรนด์ต่างๆ ที่เป็นลูกค้าของบริษัทได้รับผลกระทบ การจำหน่ายติดขัด ยอดขายลดลง จึงส่งผลกระทบมาถึงออร์เดอร์ของบริษัทด้วย หนักที่สุดคือการทำสต๊อกสินค้าไว้ แล้วไม่มีลูกค้าสั่ง

“ทุกคนเสนอให้นำสต๊อกออกมาขาย จากก่อนโควิดมีแผนขยายพื้นที่การผลิต ก็เปลี่ยนมาเป็นห้องทำดีลิเวอรี่แทน ค้นหาช่องทางขายเพิ่ม ทั้งในเพจ และขายให้เพื่อน จัดโปรโมชั่นปล่อยของ เพื่อเอาเงินมาเลี้ยงลูกน้อง จากที่ผ่านมายืมจมูกคนอื่นหายใจ ถ้าเขาพังเราก็พัง เราเลยเสนอกันว่าให้ตั้งแบรนด์ มอลลี่เค้กนุ่ม ขึ้นมา ขายอาหารและเค้กนุ่มแช่แข็ง ซึ่งเป็นโปรดักต์ที่ถนัดที่สุดของบริษัท เราผลิตเค้กนุ่มกันมาตลอด 10 ปี”

ส่วนดีลิเวอรี่ เริ่มต้นติดต่อแอพดีลิเวอรี่เจ้าดังแทบทุกแบรนด์ แม้บางเจ้าจะหักเปอร์เซ็นต์เยอะ แต่ด้วยสินค้ามาในราคาโรงงานอยู่แล้ว จึงพอขายได้กำไร พร้อมปรับแพ็กเกจจิ้งใหม่ เพื่อเปลี่ยนภาพสินค้าให้น่ามองและเป็นตัวเองมากที่สุด

“ขอดีของการอยู่วงการอาหารและเบเกอรี่แช่แข็งช่วยให้เราทำดีลิเวอรี่ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพึ่งพ่อครัวแม่ครัว เด็กที่ทำงานในร้านของมอลลี่ เป็นใครก็ได้ เพราะทุกอย่างแช่แข็งหมด พอถึงเวลาเอามาอุ่น เสิร์ฟได้อย่างสวยงามตรงตามต้องการ ดีลิเวอรี่สาขาแรกของร้านมอลลี่เค้กนุ่ม คือสาขา รัชโยธิน ซึ่งเป็นการเปิดร้านแบบแชร์ครัวกัน แค่อุ่นไมโครเวฟ ประหยัดเงินค่าเช่าได้อีก วิธีนี้ทำให้เราเปิดได้อีก 3 สาขา คือ สีลม ซอยวัดแขก เอกมัยซอย 26 และศรีนครินทร์ ปัจจุบันร้าน มอลลี่เค้กนุ่มสามารถเลี้ยงบริษัทได้” คุณมอลลี่ เล่า

สำหรับเค้กนุ่มแช่แข็ง พระเอกของร้านมอลลี่เค้กนุ่ม เจ้าของร้านสาว เล่าว่า เมื่อมีลูกค้าสั่งจะนำเค้กแช่แข็งที่ปาดครีมแล้ว ออกมาแต่งหน้า โรยท็อปปิ้ง และจัดส่งให้ลูกค้า ถึงมือเค้กจะคลายความเย็นเนื้อนิ่มพอดี แต่ไม่ใช่ว่าเค้กทุกชนิดสามารถแช่แข็งได้ ต้องมีสูตรที่ดีก่อน หรืออาหารก็ไม่ต้องมานั่งเปิดครัว เพราะทำไว้แล้ว ถึงเวลาเอามาอุ่นได้เลย ทั้งเค้กและอาหารใน 1 สัปดาห์จะทำเตรียมไว้ 200-300 ชุด

สำหรับเค้กซิกเนเจอร์ของร้าน คือ มอลลี่เค้กนุ่มโรยชีส ขายดีมาก หรือเค้กวันเกิด นำเค้กหลายๆ แบบมารวมกันเป็นวงเดียว มีเทียนวันเกิดให้ นอกจากนี้ ยังมีเค้กรสชาติต่างๆ เช่น รสกาแฟ มะคาเดเมีย มะตูม มะพร้าว ทับทิมกรอบ ฯลฯ ส่วนอาหาร ไฮไลต์คือ ข้าวหมูทอดคั่วพริกเกลือ กะเพราพริกแห้ง เป็นต้น

หลังเปิดร้านมอลลี่เค้กนุ่ม ช่วงโควิดรอบแรก คุณมอลลี่ได้ร่วมมือกับเชฟอาร์ มาสเตอร์เชฟ เปิด Cooking Gangster เป็นคลาสสอนทำอาหารในพื้นที่โรงงานย่านรัชโยธิน โดยนำประสบการณ์ของตัวเองมาช่วยสอน แต่พอโควิดรอบสองมา ได้เปลี่ยนมาเป็นการสอนออนไลน์ ผ่านโปรแกรมซูมแทน

“หากเป็นการสอนส่วนตัว เริ่มตั้งแต่ 5,000-15,000 บาท หรือสอนแบบกรุ๊ป เริ่มตั้งแต่ 900-3,000 บาทต่อคน หลังเปลี่ยนมาสอนออนไลน์ผ่านซูม เหลือคลาสละไม่เกิน 1,000 บาท จากสังเกตคนมาเรียน ระยะหลังคือผู้ประกอบการที่สิ้นหวัง ตกงาน อยากจะค้าขาย พี่ก็แนะนำให้ดูมอลลี่เค้กโมเดลเป็นตัวอย่าง จับต้องได้ ลงทุนไม่มาก แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจอยู่ได้คือคุณภาพต้องดี”

จากทำ OEM ปรับมาทำแบรนด์ตัวเอง คุณมอลลี่ บอกว่า สบายใจมากกว่า เหมือนได้ปลดแอก

“ก่อนหน้านี้เราทำให้แบรนด์คนอื่น ถ้าพลาดมาเป็นความผิดของเรา ไม่ว่าพลาดด้วยใครก็ตามเรารับหมด โดนเคลม คืนของ มาเยอะ แต่มีข้อดีคือ เราไม่ต้องลงทุนอะไรมาก รับผิดชอบเฉพาะที่เขาสั่งออร์เดอร์มา แต่มาทำแบรนด์ตัวเองมันสบายใจกว่า ดูแลทุกอย่างด้วยตัวเรา ถ้าผิดพลาดก็มาจากเรา” คุณมอลลี่ ย้ำ

หากในอนาคตสถานการณ์ดีขึ้น การรับผลิตสินค้าแบบ OEM กลับมา คุณมอลลี่ เผยว่า ยังทำร้าน มอลลี่เค้กนุ่มต่อไปเรื่อยๆ เพราะสบายใจในการทำแบรนด์ตัวเอง ส่วนธุรกิจ OEM เมื่อลดไซซ์ลง ก็ไม่ต้องเครียด และอยากเก็บร้านนี้ไว้เป็นมรดกให้ลูกน้องได้ทำกันต่อไป

“ตอนทำ OEM ได้กำไรชิ้นละ 1-2 บาท ถามทุกคนเลยทำโรงงานแบบพี่แล้วได้เกิน 7% หรือ 10% ต่อชิ้น คือเก่งมากแล้ว แต่ถ้าเป็นแบรนด์ตัวเองเราจะตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้ กำไรสูงกว่า เหนื่อยน้อยกว่า ลูกน้องทำงานไม่หนัก เบาลงเยอะ” คุณมอลลี่ ทิ้งท้าย

เผยแพร่ครั้งแรก วันพฤหัสที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2564