ผู้เขียน | เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
กะหรี่ปั๊บไส้ไก่ ขายดีเดือนละแสนกว่าชิ้น เปิดแฟรนไชส์ให้คนอยากรวย ลงทุนแค่หลักพัน!
เป็นเวลากว่า 6 ปี ที่ กะหรี่ปั๊บปันสุข ใช้เวลาในการพัฒนาต่อยอดคุณภาพของสินค้า สู่การสร้างแบรนด์ด้วยเอกลักษณ์และรสชาติความอร่อยที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะฝีมือล้วนๆ จนได้รับฉายาจากเจ้าสัวและเหล่าบรรดานักธุรกิจชื่อดัง ยกให้เป็นกะหรี่ปั๊บที่อร่อยที่สุดในประเทศไทย ในชื่อว่า “กะหรี่ปั๊บไส้ไก่ สูตรแชมป์ประเทศไทย” ซึ่งวันนี้เจ้าของแบรนด์ประกาศพร้อมติดปีก นำธุรกิจเขย่าตลาดคนอยากรวย ด้วยรูปแบบการลงทุนง่ายๆ เพียงหลักพัน

คุณปราโมทย์ โอภาส วัย 40 ปี เจ้าของแบรนด์กะหรี่ปั๊บปันสุข สูตรแชมป์ประเทศไทย เล่าที่มาของธุรกิจให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ภรรยาซึ่งเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษได้ทำขนมกะหรี่ปั๊บไส้ไก่โฮมเมดขายเพื่อหารายได้เสริม โดยได้ปรับและประยุกต์สูตรมาจากสูตรของแม่ให้มีรสชาติกลมกล่อม ทั้งตัวไส้และเนื้อแป้ง จนมีลูกค้าประจำมาอุดหนุนไม่ขาด แต่ด้วยการผลิตที่ใช้มือในการทำทุกขั้นตอน จึงไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ เพราะสามารถผลิตได้เพียง 400-600 ชิ้นต่อวัน

“ผมเป็นวิศวกรโยธามีความเชี่ยวชาญเรื่องของเครื่องจักร จึงใช้เงินทุนร่วม 2 ล้านบาทในการออกแบบและพัฒนาเครื่องจักรเพื่อเข้ามาเพิ่มศักยภาพการผลิต ซึ่งเครื่องจักรสามารถควบคุมรสชาติไม่ให้ผิดเพี้ยนจากสูตรดั้งเดิมได้ แม้จะผลิตในจำนวนมากก็ตาม และการใช้เครื่องจักรยังช่วยทำให้ขนมมีความสวยงาม มีขนาดเท่ากันทุกชิ้น ตัวแป้งและตัวไส้อยู่ในปริมาณที่พอดิบพอดีทุกชิ้น จนกลายเป็นรสชาติที่ละมุน หอม อร่อย ระดับพรีเมี่ยมตั้งแต่คำแรกไปจนถึงคำสุดท้าย” คุณปราโมทย์ บอกถึงศักยภาพของเครื่องจักร

โดยแบรนด์ปันสุขได้หยิบยกเอาความชอบของคนส่วนใหญ่ มาเป็นกิมมิกให้กับแบรนด์ ด้วยการทำกะหรี่ปั๊บไส้ไก่เพียงไส้เดียว เพราะเป็นไส้ที่ทำยากที่สุด ปัจจุบันคุณปราโมทย์สามารถผลิตกะหรี่ปั๊บได้มากถึง 180,000 ชิ้นต่อเดือน ที่สำคัญ ยังได้พัฒนากะหรี่ปั๊บสดให้อยู่ได้นานประมาณ 3 เดือนในช่องแช่แข็ง อยากรับประทานเมื่อไหร่ก็สามารถนำออกมาทอดรับประทานได้แบบร้อนๆ โดยที่รสชาติไม่เปลี่ยน

“ขนมของเราเนื้อแป้งบาง แต่ไม่กรอบร่วนซุยให้เลอะเทอะ เมื่อกัดเข้าไปแล้วเนื้อแน่น ไม่กลวงเหมือนกะหรี่ปั๊บทั่วไปที่กัดไปแล้วแป้งก็จะแข็งและกลวง ในส่วนไส้ก็แน่น รสชาติจะละมุนลิ้น ไม่ฉุนกลิ่นผงกะหรี่ แป้งบางไส้แน่น เป็นรสที่ถูกปากคนไทยแน่นอน หลังจากเราเดินเครื่องผลิตอย่างเต็มกำลัง ทำให้ฐานลูกค้าของเราขยายตัวอย่างรวดเร็ว” คุณปราโมทย์ เผย

จากความสำเร็จ ทำให้คุณปราโมทย์และภรรยาเกิดแนวคิดช่วยเหลือผู้ที่กำลังประสบปัญหาเรื่องรายได้ ในภาวะวิกฤตโควิด-19 ซึ่งหลายคนอาจจะกำลังตกงาน ถูกลดรายได้ในขณะที่รายจ่ายยังเท่าเดิม หรืออาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ

“เราได้ออกแบบแฟรนไชส์ง่ายๆ ลงทุนเริ่มต้นเพียง 2,790 บาท รับหม้อทอดไฟฟ้าจำนวน 1 ใบ รับฟรีกะหรี่ปั๊บสดไส้ไก่ชุดแรก 200 ชิ้น (ราคาขายส่งกะหรี่ปั๊บสดชิ้นละ 7 บาท) แฟรนไชซีสามารถนำไปขายชิ้นละ 12-13 บาท โดยจะขายเท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 12 บาทต่อชิ้น เราจะสอนวิธีการทอด การทำตลาด วิธีการ ขายให้ทั้งหมดผ่านวิดีโอคอล และเราจะไม่บังคับให้ต้องใช้ชื่อแบรนด์ของเรา หากใครอยากจะใช้ชื่อแบรนด์อื่นก็ได้ แต่ถ้าจะใช้ชื่อแบรนด์ของเราจะต้องขายเฉพาะสินค้าของแบรนด์เราเท่านั้น รวมถึงไม่เก็บค่าการตลาดและส่วนแบ่งการตลาด ให้คำปรึกษาตลอดระยะเวลาของการร่วมธุรกิจ และรับสิทธิ์ซื้อกะหรี่ปั๊บสดราคาส่ง” เจ้าของแบรนด์กะหรี่ปั๊บปันสุข บอกถึงเงื่อนไขแฟรนไชส์

ก่อนบอกว่า ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์การตลาดยุคใหม่ ที่ค้าขายแบบไม่ต้องมีหน้าร้านก็ได้ แฟรนไชซีของแบรนด์กะหรี่ปั๊บปันสุข ส่วนใหญ่จะทำการตลาดออนไลน์ คือมีการโพสต์ขายสินค้าตามกลุ่มต่างๆ ทั้งออฟฟิศ หมู่บ้าน หรือคนทั่วๆ ไป ซึ่งเมื่อมีลูกค้าให้ความสนใจออร์เดอร์เข้ามา แฟรนไชซีก็แค่เพียงนำกะหรี่ปั๊บสดออกมาจากช่องแช่แข็ง ทอด แล้วนำส่งไปยังลูกค้า ซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมจากงานประจำได้ดีมาก หรืออย่างคนที่มีร้านกาแฟ ร้านเครื่องดื่ม ร้านอาหารสตรีตฟู้ดต่างๆ ก็สามารถลงทุนแล้วนำกะหรี่ปั๊บของเราเข้าไปเป็นเมนูเสริมก็ได้ หรือถ้าใครสะดวก นำไปขายแบบเปิดหน้าร้านตามตลาดนัด ก็สามารถทำได้เช่นกัน

“มันเป็นธุรกิจกึ่งสำเร็จรูปที่ผ่านการทดลองมาแล้ว ทั้งในส่วนของตัวสินค้าที่คุณไม่ต้องมานั่งคิดสูตรเอง ปั้นขนมเอง ไปจนถึงตัวโมเดลธุรกิจที่ลงทุนน้อย ขายง่าย กำไรก็ดี ผมมั่นใจว่าแบรนด์ของเรา จะช่วยสร้างโอกาส และสร้างรายได้ให้กับผู้ลงทุนอย่างแน่นอน ปัจจุบัน กะหรี่ปั๊บปันสุข ส่งต่อความอร่อยผ่าน 180 สาขาแฟรนไชส์ทั่วประเทศ ซึ่งเป้าหมายปีนี้ผมมั่นใจว่าจะสามารถเปิดได้ถึง 300 สาขาอย่างแน่นอน” คุณปราโมทย์ ทิ้งท้าย
สนใจสามารถติดต่อได้ที่ โทร. 086-113-1755 ไลน์ 0861131755p และเฟซบุ๊ก กระหรี่ปั๊บไส้ไก่ สูตรแชมป์ประเทศไทย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2563