เราไม่ทิ้งกัน! ”บิ๊กมาม่า” นางโชว์คนดัง ขายข้าวแกง-ตกปลา-เก็บผักบุ้ง เลี้ยงลูกน้อง

เราไม่ทิ้งกัน!
เราไม่ทิ้งกัน! "บิ๊กมาม่า" นางโชว์คนดัง ขายข้าวแกง-ตกปลา-เก็บผักบุ้ง เลี้ยงลูกน้อง

เราไม่ทิ้งกัน! “บิ๊กมาม่า” นางโชว์คนดัง ขายข้าวแกง-ตกปลา-เก็บผักบุ้ง เลี้ยงลูกน้อง

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราว “เราไม่ทิ้งกัน” ผ่านจากปากคำบอกเล่าของ “นางโชว์” คนดังของวงการคาบาเรต์เมืองไทย

คุณโอ๊ต เจ้าของฉายา “บิ๊กมาม่า” สละเวลามาให้ข้อมูลกับ “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง เริ่มต้นแนะนำตัว พื้นเพเป็นคนจังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันอายุ 47 ปี มีชื่อตามบัตรประชาชนว่า นายธวัชชัย ธารพร เคยทำมาหากินมาหลายอาชีพ แต่ล่าสุด เป็นเจ้าของกิจการ “The Queen’s Cabaret-เดอะ ควีน’ส คาบาเร่ต์” สถานบันเทิงยามค่ำคืน สไตล์ “คาบาเรต์” บนเกาะเต่า แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดสุราษฎร์ธานี

“เคยทำงานเป็นนางโชว์ ตามแหล่งท่องเที่ยวดังๆ อย่าง กรุงเทพฯ เกาะสมุย ก่อนไปเรียนดีไซเนอร์ ที่ประเทศอิตาลี กระทั่งมีชื่อเสียง มีห้องเสื้อของตัวเอง ชื่อ มาดามโอ๊ต มีลูกค้าเป็นเซเลบ-ดารา ค่าตัดชุดทีละสามแสน ห้าแสน” คุณโอ๊ต ย้อนความทรงจำ

คุณโอ๊ต สมัยเปิดห้องเสื้ออยู่ที่ประเทศอิตาลี

ก่อนเล่าต่อ ธุรกิจห้องเสื้อของเธอรุ่งเรืองอยู่พักใหญ่ กระทั่งเกิดเหตุพลิกผันในครอบครัว เธอจึงย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย ก่อนตระเวนไปทั่วประเทศ เพื่อหาทำเลเปิดคาบาเรต์ จนมีเพื่อนแนะนำทำเลบน “เกาะเต่า” เพราะเขาทำธุรกิจโรงแรมอยู่ก่อน สุดท้ายเลยตัดสินใจลงทุน

คุณโอ๊ต เจ้าของฉายา “บิ๊กมาม่า”

เริ่มต้นด้วยการหาเช่าที่ดิน ก่อสร้างอาคาร เปิดรับทีมงาน ซึ่งเป็น “สาวสอง” มาจากทั่วสารทิศ อายุตั้งแต่ 15 ไล่ไปจนถึง 20 กว่า ความสามารถทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์ จึงต้องฝึกกันตั้งแต่เสิร์ฟ แล้วค่อยฝึกการเต้น การแสดง เมื่อความสามารถน่าพอใจแล้วจึงได้ขึ้นโชว์

“ล่าสุด มีลูกน้องประมาณ 30 ชีวิต ทุกคนได้เป็นรายวัน เริ่มต้นที่ 300 บาท ทำงานคืนละ 2-3 ชั่วโมง เด็กๆส่วนใหญ่อยู่กินกับเรา เพราะมีอาหาร-ที่พักให้ แต่ก็นอนกันง่ายๆ เรียงกันคล้ายคณะหมอลำ” คุณโอ๊ต เล่ายิ้มๆ

ก่อนบอกต่อ ลูกค้าคาบาเรต์ของเธอ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ราคาค่าเที่ยวคิดเป็นดริ๊งก์ อย่าง ซอฟต์ ดริ๊งก์ 150 บาท  ค็อกเทลแพงสุด  250 บาท  แต่น้องๆ จะได้ทิปจากการถ่ายรูปกันเยอะ จึงต้องจัดเวรไล่เรียงไป วันนี้ใครบ้างได้ถ่ายรูปกับแขก

คุณโอ๊ต เล่าด้วยว่า ก่อนหน้านี้ตัวเธอก็รับบท “นางโชว์” ในร้านของตัวเอง ส่วนใหญ่สวมบทบาท “สาวผิวสี” อย่าง ไดน่า รอส, เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน ฯลฯ ช่วงนักท่องเที่ยวคึกคักเคยได้ทิปคืนละหมื่น แต่มา 4-5 ปีหลัง เริ่มมีปัญหาหัวเข่า เลยงด เพราะแสดงไม่ไหว

ลีลา “นางโชว์”

 

“คาเบเรต์ของเรา คล้ายมินิเธียเตอร์ วันหนึ่งเปิดแค่สองชั่วโมง วันไหนมีการแสดงสองรอบ เปิดสามชั่วโมง ทำแบบนี้มาสิบกว่าปีแล้ว  เป็นธุรกิจที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด ตั้งแต่ ม็อบการเมือง ปิดสนามบิน น้ำท่วมใหญ่ ปี 54 ไม่ได้ปิดกิจการ แต่ไม่มีลูกค้า ต้องปิดไป 2 เดือนเห็นจะได้  จนมาปีนี้แหละ” คุณโอ๊ต บอกก่อน หัวเราะร่วน

สนทนามาถึงตรงนี้ จึงเข้าเรื่องสถานการณ์โควิด-19 คุณโอ๊ต บอก

“เป็นคนที่อยู่กับความจริงมาโดยตลอด อย่างตัวเองเคยรวยสามสิบล้านสมัยอยู่อิตาลี แล้วก็ร่วงลงมา ต้องไปเป็นคนดูแลบ้าน ดูแลสวน เหตุการณ์นี้เลยมองเป็นเรื่องธรรมดา ก่อนหน้าเกิดเหตุ เคยเตือนเด็กๆ ว่าเตรียมตัวให้ดี มันมีสัญญาณเริ่มออกมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ถ้าอยู่แบบประมาทเดี๋ยวจะแย่เหมือนเรา ที่เคยประมาทจนเป็นหนี้เป็นสิน ให้เก็บเงินกันให้ดี หน้าท่องเที่ยวเดี๋ยวนี้คาดการณ์ไม่ได้ ผันผวนมาพักใหญ่แล้ว ช่วงลูกค้าเยอะๆ ให้ตั้งใจทำงาน เก็บงิน เพราะไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นอีก”

เมื่อถามว่าช่วงนี้หาอยู่หากินยังไง คุณโอ๊ต หัวเราะอารมณ์ดี ก่อนเผยจริงจัง

“เริ่มออกตกปลา หาเก็บผักบุ้ง กันบ้างแล้ว”

ออกเรือไปตกปลา

และบอกต่อว่า  ลูกน้องที่ยังอยู่ด้วยกันมีประมาณ 10 คน บางคนมีงานประจำ แต่แทบทุกกิจการปิดหมด สรุปคือทุกคนตกงาน จึงมากองรวมกัน  ตัวเธอเองเลยหันมาเป็นแม่ค้าข้าวแกง ตื่นตีสี่ ทำกับข้าวให้เด็กๆ ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปขาย พอช่วงกลางวันขายอาหารตามสั่ง ขายชา/กาแฟ ใส่กระติก ดีลิเวอรี่รอบเกาะ

พอตกเย็น มีเรือของคนที่รู้จักกันออกทะเล มาชวน เธอจะช่วยออกค่าน้ำมัน นั่งเรือออกไปตกปลา ตกหมึก วันก่อนได้หมึกมาสามกิโล ปลาข้างเหลืองอีกสามกิโล เอามาทำกิน ทำแจกกันได้หลายบ้าน และทุกวันอาทิตย์ จะทำอาหารแจกฟรีให้พวกคนตกงาน ซึ่งบนเกาะเต่า มีคนออกมาช่วยแบบนี้เยอะเหมือนกัน ไม่ใช่มีแค่เธอเจ้าเดียว

กับบทบาทแม่ค้าข้าวแกง

ถามว่ามองภาพธุรกิจคาบาเรต์ของตัวเองไว้ยังไงบ้าง คุณโอ๊ต ถอนหายใจก่อนบอกทิ้งท้าย

“เอาตรงๆ คิดวันต่อวัน เลยค่ะ คือ ไม่ห่วงจะพัง หรือจะไปต่อยังไง พอถึงเวลาจริงๆ ต้องยอมรับความจริง เลยไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากมาย ถ้ามันจะพังก็ต้องพัง จะไปฝืนได้ยังไง”