ผู้เขียน | อ้อมแอ้ม ณ แอลเอ |
---|---|
เผยแพร่ |
อีกมุมที่อยากให้รู้จัก! ฮิโรชิมา เมืองสวยชายทะเล ไม่หนาวเกินไป อากาศดีตลอดปี
ฮิโรชิมา เป็นเมืองหนึ่งอยู่เกือบปลายสุดของเกาะฮอนชู เกาะใหญ่สุดของญี่ปุ่น เกาะเดียวกันกับที่เมืองหลวงคือโตเกียวตั้งอยู่ แต่ไกลกันมาก ฮิโรชิมา อยู่ปลายสุดลงใต้ไปอีกหน่อยก็เป็นเมืองฟูกูโอกะแหล่งเกษตรกรรมธรรมชาติที่สำคัญของญี่ปุ่น
ฮิโรชิมา เป็นเมืองในใจตลอดกาลของฉัน หลงรักตั้งแต่ไปครั้งแรกเมื่อ 30 กว่าปีก่อน ชอบที่มีรถรางวิ่งผ่านเมือง เหมือนซานฟรานซิสโก เป็นรถรางเก่าแก่วิ่งมาแต่เก่าก่อน แต่เขารักษาสภาพไว้ดีมาก และยังใช้กันเป็นปกติ แม้ว่าคนใช้จะเป็นนักท่องเที่ยวเสียส่วนใหญ่ เพราะคนทำมาหากินทั่วไปก็หันไปใช้รถไฟใต้ดิน หรือการสัญจรวิธีอื่น
ฮิโรชิมา เป็นเมืองสวย เป็นเมืองชายทะเลที่ไม่หนาวเกินไป อากาศดีตลอดปี น้ำทะเลด้านนี้ซึ่งเป็นช่องแคบคั่นระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้แถวเมืองปูซาน ก็สงบกว่าอีกด้านที่ติดทะเลลึก
แต่คนทั้งโลกไม่ค่อยรู้จักฮิโรชิมาในแง่นี้ กลับรู้จักเพียงว่าเป็นเมืองที่เคยถูกระเบิดนิวเคลียร์หย่อนใส่เมื่อ 74 ปีก่อน ก่อนที่อีกไม่กี่วันต่อมาก็หย่อนใส่เมืองนางาซากิ ผู้คนล้มตายนับแสน และทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามอย่างปราศจากเงื่อนไข และไม่นานจากนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยืดเยื้อยาวนานหลายปีและกัดกินชีวิตผู้คนไปหลายล้านก็ถึงกาลยุติ
ใจกลางเมืองฮิโรชิมาทุกวันนี้ ยังมีอาคารหลังคาทรงโดม ที่อยู่ในจุดที่ระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดเหนือน่านฟ้าฮิโรชิมาในวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 พอดี
สมัยก่อนฉันเคยเชื่อว่าระเบิดมันระเบิดเหนือยอดโดมนั้นพอดิบพอดีอย่างที่เขาว่า แต่ตอนหลังฉันว่ามันออกจะเวอร์วังไป ใครจะช่างหยอดระเบิดได้แม่นยำปานนั้น และมีเหตุผลอะไรที่จะต้องให้มันไประเบิดเหนือยอดโดมนั้น และสำคัญสุดคือไม่มีใครเห็นตอนระเบิดจะจะสักคน คือเขาคงประเมินประมาณเอาแหละว่าแถวๆ นั้น เพราะเป็นอาคารตั้งใจกลางเมืองพอดี
เขาก็สร้างอนุสรณ์สถานไว้ใกล้อาคารทรงโดมนี้ เป็นจุดรำลึกถึงเหตุการณ์ที่มีคนล้มตายจำนวนมาก เวลาไปเยี่ยมชมก็เศร้าสลดไปตามกัน แต่พวกที่ชังญี่ปุ่นฐานที่เคยรุกรานเขาไปมิใช่น้อย ทั้งจีนและเกาหลี ก็จะเชิดใส่ ไม่เศร้า แต่เท้าสะเอวถามว่า แล้วไง? ทำไมเวลาเอ็งไปทำชาวบ้านเขาเอ็งไม่โวยมั่งล่ะ? เช่นนี้เรื่อยมา จนถึงวันนี้ สมุดที่เขาให้ลงนามแสดงความเศร้าอาลัยที่อนุสรณ์สถาน ก็จะมีทั้งถ้อยคำอาลัยและด่าเคล้ากันไป
ญี่ปุ่นเขาก็ไม่ลบทิ้งนะ เขาก็ยอมรับไปว่ามันเป็นปกติของรักและชัง และเขาก็กลับไปลบอดีตไม่ได้
คนรุ่นที่เคยประสบกับความโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่นก็เคืองแค้นกันต่อไป แต่ไม่นานอดีตอันขมขื่นนี่ก็คงจะเลือนหาย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคุมแค้นต่อไป พูดกันตามตรงญี่ปุ่นก็จ่ายไปหนักหน่วง ประเทศเขา ชีวิตผู้คนเขา กองทัพเขา ก็เผชิญชะตากรรมหนักหน่วงหลังจากนั้น กว่าจะยืนขึ้นอีกครั้งในหลายสิบปีต่อมา
และจนถึงวันนี้กองทัพญี่ปุ่นก็เป็นได้เพียงกองกำลังป้องกันประเทศ มีกฎระเบียบมากมายไม่ให้เติบใหญ่ขึ้นเป็นกองทัพใหญ่ทรงพลังเกรี้ยวกราดอีก เพราะเขากลัวจะไปรุกรานชาวบ้านให้ปั่นป่วนอีกเหมือนคราวก่อน
กรณีญี่ปุ่นแพ้สงครามนี่ ฉันจำไม่ลืมอย่างหนึ่งคือ ผู้นำของเขาในยุคสงครามถูกนำตัวขึ้นศาลอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศ ท้ายสุดมีนายพลหลายคนถูกจับแขวนคอในฐานอาชญากรสงคราม
ภาพที่เห็นผ่านสื่อในยุคนั้นคือ ทุกโมงยามที่อยู่ในศาล พวกเขาสงบ แสดงความเคารพศาลอย่างเต็มที่ ไม่มีกรีดร้องโวยวาย ไม่มีคร่ำครวญต่อโชคชะตา มีแต่คำรับสารภาพว่าตัวเองทำผิดทั้งหมด เจ้านายรับผิดแทนลูกน้อง รับปากอย่างไม่มีอิดออด จนถึงนาทีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต พวกเขาก็โค้งคำนับรับคำตัดสินของศาลอย่างเงียบๆ
เป็นการยอมรับสภาพของผู้แพ้ เมื่อแพ้ก็ต้องรับชะตากรรม เป็นชะตากรรมของผู้แพ้ที่มีผู้ชนะเป็นผู้กำหนด ศาลที่ตัดสินชะตาชีวิตพวกเขาก็เป็นศาลของผู้ชนะ อันนี้กฎของสงคราม ไม่ว่าจะสงครามเข่นฆ่ากันหรือสงครามชีวิต
แต่เขาก็ต่อสู้ในศาลเต็มที่นะว่าเขาทำตามคำสั่งกองทัพ เขาทำเพื่อประเทศชาติ เมื่อประเทศประกาศสงครามกระโจนเข้าสู่สนามรบ เขาก็รบ เขาทำตามคำสั่งของกองทัพของผู้นำประเทศ ผู้นำเป็นรัฐาธิปัตย์ เขาทำตามคำสั่งแล้วจะผิดกฎหมายอย่างไร ทหารมีหน้าที่รบ เขาทำหน้าที่ของเขา
จนหลังกรณีญี่ปุ่นนี่แหละ เขาถึงมีกฎหมายระหว่างประเทศเรื่องความผิดในการก่อสงคราม ความผิดในการเข่นฆ่าประชาชนในประเทศคู่สงครามอะไรต่างๆ นานาขึ้นมา