มองเห็นโอกาส มักชนะเสมอ

นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ จนไปเจอข่าวหนึ่งเมื่ออ่านแล้วให้รู้สึกว่า…มันขนาดนี้กันเลยหรือ?

 เพราะเนื้อหาของข่าวบางส่วนบอกว่า…นักท่องเที่ยวชาวจีน และเกาหลีแห่ซื้อมาม่ารสต้มยำกุ้ง เพราะรสนี้แสดงถึงสัญลักษณ์ประเทศไทย และเขาก็ซื้อทีละหลายๆ กล่อง ซึ่งกล่องหนึ่งบรรจุประมาณ 30-40 ซอง

อีกส่วนหนึ่งซื้อมาม่าคัพแบบมีหูหิ้ว 12 ถ้วย

ในรายละเอียดข่าวบอกว่าหากกระเป๋าเดินทางของนักท่องเที่ยวคนไหนน้ำหนักไม่เกินก็ไม่มีปัญหา แต่สำหรับบางคนน้ำหนักเกิน เขาจึงจัดการเอามาม่าออกจากกล่อง ฉีกซองออก และเลือกเอาแต่ผงปรุงรสกลับไป

เพราะนักท่องเที่ยวเหล่านั้นบอกว่ามาม่า หรือบะหมี่ปรุงสำเร็จรูปไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ แต่ผงปรุงรสมีความแตกต่าง

เพราะของไทยอร่อยกว่า

เข้มข้นมากกว่า

ทั้งยังเป็นผงปรุงรสต้มยำกุ้งด้วย ยิ่งทำให้พวกเขาไม่พลาดที่จะเลือกนำผงปรุงรสกลับประเทศ ซึ่งอ่านข่าวแรกๆ ผมก็รู้สึกขำปนความคับข้องใจว่า…มันขนาดนี้กันเลยหรือ?

แต่เมื่อกลับมานั่งคิด และคิดว่าถ้าบริษัท สหพัฒนพิบูล ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตมาม่าโดยตรง ผลิตเฉพาะผงปรุงรสต้มยำกุ้งส่งออกไปขายยังจีน ญี่ปุ่น เกาหลีล่ะ จะขายได้ไหม

หรือถ้าพ่อค้าแม่ค้าคนไทยด้วยกันเอง คิดจะทำผงปรุงรส หรือทำคล้ายๆ กับก้อนคนอร์รสต้มยำกุ้งล่ะจะขายได้ไหม ซึ่งผมคิดว่าน่าจะขายได้อย่างแน่นอน

เพราะคนไทยมีฝีมือทางด้านนี้

ทั้งยังพลิกแพลงที่จะพัฒนาไปทำผงปรุงรสอื่นๆ ที่กลุ่มประเทศในเอเชีย หรือยุโรปชื่นชอบอาหารไทย เพราะหาไม่เช่นนั้นอาหารพร้อมรับประทานของค่ายโรซ่า คงไม่ขายดิบขายดีเช่นนี้หรอก

ทั้งกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านแถบ CLMV ก็ยังชื่นชอบอาหารพร้อมรับประทานมากเสียด้วย

เช่นเดียวกันในตลาดเอเชีย ยุโรปบางประเทศก็ต่างชื่นชอบอาหารพร้อมรับประทานเช่นเดียวกัน เพราะเขาเจาะกลุ่มนักศึกษา คนวัยทำงานที่อาศัยอยู่ตามอพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ที่ไม่ค่อยมีเวลาในการทำอาหาร

เพราะอาหารพร้อมรับประทานแค่นำไปเวฟก็สามารถรับประทานได้ทันที

แถมรสชาติยังใกล้เคียงกับอาหารปรุงสุกเสียด้วย

ฉะนั้น จะแปลกอะไรถ้าเราคิดอยากจะทำผงปรุงรสต้มยำกุ้ง ต้มข่าไก่ แกงเขียวหวานไก่ ส่งออกออนไลน์ไปยังกลุ่มประเทศเหล่านั้น

เพราะเท่าที่ทราบจากเฟซบุ๊ก มีการคาดการณ์กันว่าปัจจุบันมียอดผู้ใช้งานเฟซบุ๊กมากกว่า 40 ล้านคน ต่อเดือน โดยมีถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ที่ใช้เฟซบุ๊กผ่านสมาร์ตโฟน

เฉพาะประเทศไทยยังมีการคาดการณ์กันว่าภายในสิ้นปี 2559 จะมีจำนวนยอดผู้ใช้สมาร์ตโฟนเพิ่มขึ้นถึง 46.7 ล้านคน

ขณะที่นักช็อปออนไลน์ในประเทศไทยมีการสั่งซื้อสินค้าสูงถึง 92 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้น ยังมีปริมาณของการเปิดเพจสินค้าในธุรกิจเอสเอ็มอีทั่วโลกอีก 50 ล้านเพจ

สำหรับกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มียอดผู้ใช้งานเฟซบุ๊กมากกว่า 252 ล้านคนในทุกๆ เดือน ทั้งยังมีมากกว่า 61 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ใช้งานทำการแอ๊กทีฟเฟซบุ๊กต่อเดือนเป็นประจำทุกวัน และมากกว่า 94 เปอร์เซ็นต์ ใช้งานเฟซบุ๊กผ่านสมาร์ตโฟน

ผลเช่นนี้จึงทำให้เฟซบุ๊กมองเห็นโอกาส จึงเปิดบริการใหม่เพื่อให้สมาชิกผู้ใช้งาน โดยเฉพาะกับธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถเข้าไปเปิดฟีเจอร์ (ร้านค้าใหม่) บนโลกออนไลน์ได้

แถมยังฟรีอีกด้วย

เพราะฟีเจอร์ร้านค้าใหม่เปิดโอกาสให้โปรโมตสินค้าง่ายๆ ด้วยช่อง “ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ” ทั้งวิธีการชำระเงิน ยังมีปุ่มข้อความที่อยู่ถัดจากภาพสินค้า เพื่อช่วยให้ลูกค้าติดต่อกับผู้ขาย ในการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมต่างๆ อีกด้วย

รวมทั้งยังมีการเพิ่มตัวเลือกสำหรับ “Boost Product” เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างสรรค์โฆษณาในการโปรโมตผลิตภัณฑ์ได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย

เพราะฉะนั้น เมื่อใครทราบข้อมูลเช่นนี้แล้ว และอยากจะทำธุรกิจออนไลน์ต่างๆ จงอย่ารีรอ ชักช้า รีบเปิดหน้าเฟซบุ๊ก แล้วไปสมัครที่ฟีเจอร์ (ส่วนร้านค้าใหม่) ทันที

เท่านั้นคุณก็จะมีเพจร้านค้าออนไลน์ของคุณ

รวมถึงการนำผงปรุงรส และก้อนคนอร์ปรุงรสต่างๆ ที่คุณสร้างสรรค์ขึ้นเอง ลองทดลองตลาดก่อน อาจเริ่มจากเพื่อนฝูงที่เป็นคนไทยก่อน แล้วจากนั้นถึงค่อยแชร์เพจร้านค้าไปในต่างประเทศ

เท่านั้นก็จะทำให้คุณรู้ว่ามีใครสนใจสินค้าของคุณบ้าง

เพราะอย่างที่บอกการทำธุรกิจทุกวันนี้มีหลายช่องทางให้เลือก และช่องทางหนึ่งที่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำโดยแทบจะไม่มีต้นทุนในการโปรโมตสินค้าเลยคือ ช่องทางออนไลน์นี่แหละ

ขอให้สินค้าของคุณดี

มีคุณภาพ

อร่อย

สด

ราคาไม่แพงจนเกินไป

และสินค้าตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

ต่อให้คุณขายอะไรก็เชื่อว่าขายได้ หาไม่เช่นนั้นนักเรียน นักศึกษาที่หันมาทำธุรกิจออนไลน์คงไม่มีเงินเป็นกอบเป็นกำอย่างที่เป็นข่าว

แต่ทั้งนั้นคุณต้องบริหารร้านค้าออนไลน์ของคุณให้มีความซื่อสัตย์ เป็นธรรม จนทำให้เกิดการพูดปากต่อปากด้วย เท่านั้นก็จะทำให้คุณประสบความสำเร็จโดยเร็ว

ยิ่งเมื่อมีฟีเจอร์ใหม่ของเฟซบุ๊กเปิดโอกาสเช่นนี้ด้วย ยิ่งน่าจะทำให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้คุณกลายเป็นเศรษฐีได้ไม่ยาก

ลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ

โดยเฉพาะกับสภาพเศรษฐกิจขณะนี้ เหมาะยิ่งแล้วสำหรับคนที่มองเห็นโอกาส เพราะคนที่มองเห็นโอกาส มักจะชนะเสมอในทางธุรกิจ