ผ่านมาสารพัดอาชีพ แต่รุ่งเพราะ “ลูกชิ้นปิ้ง” พร้อมผุดแฟรนไชส์-ทุนหลักพันขายได้

ผ่านมาสารพัดอาชีพ แต่รุ่งเพราะ “ลูกชิ้นปิ้ง” พร้อมผุดแฟรนไชส์-ทุนหลักพันขายได้

สังเกตไหมคะ ไปไหนก็เจอ ลูกชิ้นแบรนด์นี้

“ลูกชิ้นทิพย์”  ซึ่งเป็นเจ้าตลาดลูกชิ้นหมูปิ้ง “เบอร์หนึ่ง” ของบ้านเราอยู่เวลานี้  มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 10-15 ตัน ต่อวัน หรือราววันละ 7 แสนไม้ ส่วนยอดขายเฉลี่ยแล้วอยู่ที่เดือนละ 60-70 ล้านบาท

คุณศราลี  พรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท พงษ์-ศรา ดิสทิบิวชั่น จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ ลูกชิ้นหมูปิ้ง ตรา “ลูกชิ้นทิพย์” เล่าว่า พื้นเพเป็นคนอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี อาชีพดั้งเดิมของคุณพ่อ-คุณแม่ คือ ทำไร่อ้อยส่งโรงงานน้ำตาลทราย แต่ตัวเธอเองไม่มีโอกาสช่วยมากนัก เพราะอายุยังน้อย

 

 

คุณศราลีเคยทำงานมาแล้วสารพัด ทั้งรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า เปิดโต๊ะสนุ๊กเกอร์ ขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปตามตลาดนัด ซึ่งอาชีพหลังนี้ น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอพอมีทุน “ลืมตา อ้าปาก” ได้

“ชอบค้าขาย แต่ไม่มีทุนรอนมากมาย อะไรที่พอทำได้ก็ทำไปก่อน เห็นใครทำอะไรดีก็อยากทำบ้าง อย่าง ตอนขายเสื้อผ้า จะไปรับมาจากย่านประตูน้ำหรือสวนจตุจักร  ก่อนใส่รถตระเวนไปกับสามีสองคน เปิดแผงขายตามตลาดต่างจังหวัด อย่าง สุพรรณฯ อ่างทอง กำไรเหลือครึ่งๆ จึงทำให้พอมีทุนคิดขยับขยายทำอย่างอื่น” คุณศราลี เล่าความหลังเมื่อราวยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา

 

กระทั่งได้ไปเห็นร้าน “ลูกชิ้นปิ้ง” วันหนึ่งเขาขายได้หลักหมื่นบาท

“พอไปสังเกตและประเมินจากประสบการณ์ เห็นคนปิ้ง 1 คน คนเสียบลูกชิ้น 1 คน ทำไม่หยุดมือ ขายไม้ละ 10 บาท คนซื้อยืนกิน แถมซื้อกลับบ้านอีก นั่นเองที่เป็นจุดเริ่ม ทำให้ตัดสินใจหันมาขายลูกชิ้นปิ้ง” คุณศราลี เผยประสบการณ์ครั้งนั้น

ราวปี 2548 ซึ่งเป็นการเปิดศักราชของกิจการ “ลูกชิ้นทิพย์” นั้น รูปแบบการดำเนินธุรกิจยังเป็นแบบ “รับซื้อ” ลูกชิ้นมาจากโรงงานผลิต ก่อนนำไปตั้งเตาปิ้งเอง ที่ห้างดังย่านบางบอน เป็นสาขาแรก ซึ่งผลประกอบการดีมาก จึงมีการขยายสาขาไปตามห้างต่างๆ อีกนับสิบจุด ยอดขายดีกว่าไอศกรีมหลายเท่าตัว เลยตัดสินใจคงกิจการลูกชิ้นปิ้งไว้เพียงอย่างเดียว

ขายลูกชิ้นปิ้งแบบที่รับมาจากโรงงานผลิต ได้ปีเศษ เริ่มมีคนมาขอซื้อลูกชิ้นต่อไปขายบ้าง ซึ่งจะต้องเป็นการซื้อขายกันแบบ “ขายส่ง” จำนวนมาก แต่เนื่องจากช่วงเวลานั้น เธอยังไม่มีโรงงานผลิตลูกชิ้นเป็นของตัวเอง การจะไปขายส่งให้คนอื่นอีกทอด คงไม่ได้กำรี้กำไรอะไร

เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญ ทำให้นักธุรกิจสาวและสามี ตัดสินใจช่วยกันคิดค้นสูตรการทำลูกชิ้นในแบบของตัวเอง

“สูตรทำลูกชิ้นอร่อยๆ ไม่ใช่ง่ายนะ ลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 2 ปี แต่ไม่ได้ทำทุกวัน เหนื่อยก็พัก พอหมดทิศหมดทางก็หยุด แต่วันไหนเกิดไอเดียก็เริ่มต้นใหม่ จนลูกน้องเห็นหน้าเมื่อไหร่ ต้องถอยหนีหมด เพราะกลัวจะเรียกให้ชิมลูกชิ้น เพราะตัวเองชิมคนเดียว จนไม่รู้รส ลิ้นชาไปหมดแล้ว” คุณศราลี เล่าวันวาน ก่อนหัวเราะร่วน เหมือนยังจำเหตุการณ์ได้ดี

แต่แล้ว “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” คงเป็นตรรกะใช้ได้กับเจ้าของเรื่องราวครั้งนี้ เพราะเมื่อเธอและสามี สามารถคิดค้นสูตรเพื่อใช้ในการผลิตลูกชิ้น เป็นที่พอใจแล้ว จึงตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ ซื้ออาคารพาณิชย์ 2 คูหา ในซอยเพชรเกษม 69 ย่านบางแค เปิดโรงงานผลิตลูกชิ้นหมูของตัวเอง มีคนงานเริ่มต้นราว 10 กว่าคน

ใช้เวลาไม่นาน โรงงานผลิตลูกชิ้น 2 คูหาเริ่มคับแคบ เพราะต้องผลิตทั้งส่งร้านตัวเองและขายส่งให้กับคู่ค้าอีกหลายราย ผนวกกับได้พื้นที่ขายในห้างเพิ่มเข้ามาอีก คุณศราลีจึงตัดสินใจซื้อที่ดินขนาดกว่า 3 ไร่ หลังโรงงาน ขยายอาคารผลิตออกไปอีก

แต่ธุรกิจก็ยังไม่หยุดเติบโต จึงตัดสินใจย้ายฐานการผลิตทั้งหมดมาลงบนที่ดินเกือบ 5 ไร่ ในพื้นที่อำเภอสามพราน ซึ่งเป็นที่ตั้งในปัจจุบัน ก่อนทำการก่อสร้างโรงงานให้ได้มาตรฐานในทุกระบบ ลงเครื่องจักรทันสมัย เพื่อรองรับการขยายตัวที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต  มีคนงานในความดูแลกว่า 100 คน ใช้เงินลงไปกว่า 200 ล้าน โดยไม่ได้กู้สถาบันการเงินมาลงแม้แต่บาทเดียว

“ตอนเริ่มก่อสร้างโรงงาน มีชาวบ้านชุมชนในละแวกมาสอบถามกันหลายราย ว่าทำลูกชิ้นส่งออกเหรอ น้องๆ ก็บอกไป ไม่ได้ส่งออก ขายในบ้านเรานี่แหละ ไม้ละ 5 บาท หลายคนเลยแปลกใจ ลงทุนขนาดนี้จะคุ้มเหรอ  จึงต้องอธิบายว่าเราทำด้วยใจ ส่วนกำไรเป็นเรื่องรอง ความสุขของการทำธุรกิจ คือ ผู้บริโภคได้ทานของดี ไม่แพง” คุณศราลี บอกยิ้มๆ ทิ้งท้าย

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ “ลูกชิ้นทิพย์” ลูกชิ้นหมูปิ้งขายปลีก ไม้ละ 5-10  บาท มีหน้าร้านกระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้าและปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ

ส่วนลูกค้าที่ต้องการซื้อจำนวนมากรูปแบบการขายส่งก็มีให้เลือก รวมทั้งการลงทุนแบบแฟรนไชส์ ซึ่งสามารถเลือกระดับการลงทุนได้ ระหว่าง 6,900-29,900 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-808-7575 ต่อ 111-118 Facebook/ลูกชิ้นทิพย์ และเว็บไซต์ www.lookchinthip.com