ผู้เขียน | เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
มัวแต่รอไม่ได้แล้ว! SMEs ไทย ต้องเร่งปรับตัว 3 ด้าน “การตลาด-เทคโนโลยี-ประสิทธิภาพ”
คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานสายงานส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า การเกิด Disruptive Technology ในปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัว เพิ่มประสิทธิภาพในภาคการผลิตและพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนำนวัตกรรมที่ทันสมัย เช่น ระบบอัตโนมัติ (Automation) เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต พร้อมให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา นำเทคโนโลยีด้านสารสนเทศมาช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ธุรกิจก้าวผ่านวิกฤตและเกิดความยั่งยืนได้
และจากผลการสำรวจ CEO Survey จากนิด้าโพล ร่วมกับ ส.อ.ท. ล่าสุดระบุว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจอีอีซี จะเป็นตัวชูโรงดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ถึง 64.55% ฟันธงว่าปัจจัยที่ส่งผลดึงดูดการลงทุนทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากนานาชาติเข้ามาในไทย คือ ความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เข้าสู่ช่วงการก่อสร้างมากขึ้น ส่วนแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยในปี 2562 คือ นโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ขณะเดียวกัน ความคืบหน้าของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง “อภิมหาโปรเจ็กต์” ที่รัฐบาลตั้งใจจะใช้เป็นแรงดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาตินั้น ได้มีการอนุมัติแผนปฏิบัติการ 8 แผนงาน ประกอบด้วย แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ แผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือสัตหีบ และบริหารโลจิสติกส์ต่อเนื่อง, แผนการพัฒนา 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย, แผนการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว, การพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจ และศูนย์กลางการเงิน, แผนการพัฒนาบุคลากร การศึกษา วิจัย และเทคโนโลยี, แผนการพัฒนาเมืองใหม่ และชุมชน เป็นต้น
นอกจากนี้ “อภิมหาโปรเจ็กต์” ดังกล่าว ยังได้กำหนดโครงการจำเป็นและจำเป็นเร่งด่วนขึ้นมา เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เป็นเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 และโครงการรถไฟทางคู่เชื่อม 3 ท่าเรือ รวมถึงการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซีไอ และการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิตอล หรือ อีอีซีดี
แต่ในขณะเดียวกัน ตามสภาพความเป็นจริงในสังคมไทยแล้ว ยังมี “การรับรู้” ที่ไม่ถูกต้องนักเกี่ยวกับระบบอัตโนมัติและอีอีซี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ SMEs กล่าวคือ บางรายคิดว่านี่เป็นเฉพาะเรื่องของธุรกิจในอีอีซีที่จะได้รับผล บางรายคิดว่าการลงทุนหรือการปรับตัวเป็นเรื่องของ Large Enterprise การลงทุน คือ ต้องซื้อหุ่นยนต์ราคาหลายล้านโดยไม่รู้จะคืนทุนเมื่อใด หลายรายรอลอกสูตรสำเร็จจากคู่แข่ง หรือหนักหน่อยก็เพียงแต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เศรษฐกิจจะดีขึ้น จะมีออร์เดอร์ใหม่ๆ เข้ามาจากต่างประเทศหรือโครงการขนาดใหญ่
“SMEs ไทยวันนี้จะมัวแต่รอไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในอีอีซีหรือไม่ จะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันระหว่างประเทศหรือยัง แนวคิด Industry 4.0 ของเยอรมนี หรือ Connected Industry ของญี่ปุ่น ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป การปรับตัวไม่ใช่แค่เรื่องหุ่นยนต์และสามารถเริ่มได้เร็วกว่าที่คิด” คุณเกรียงไกร กล่าว
และว่า สำหรับการปรับตัวของ SMEs ไทย ที่อยากเห็นนั้น อาจมีความเป็นได้ ด้วยแรงผลักดันด้านต่างๆ เช่น
ด้านการตลาด คือ ให้เริ่มก้าวแรกของการหลุดจากวงจร OEM ให้เร็วที่สุด จะไปในทาง ODM หรือ OBM ก็ได้ ขอแค่เริ่มก้าวแรกเดี๋ยวหนทางจะเกิดแน่นอน ขอเพียงอดทนและให้เวลากับมัน ต้อง รู้จักทั้งคู่แข่ง คู่ค้า ลูกค้า และหน่วยงานวิจัยสนับสนุนต่างๆ ให้มาก ก็จะช่วยลดภาระหรือความเสี่ยงในการลงทุนด้านการพัฒนาสินค้าด้วยตัวเอง
ด้านเทคโนโลยี ปฏิเสธไม่ได้ว่าการผลิตในยุคใหม่นี้บางอย่างต้องลงทุนเทคโนโลยีจริงๆ เช่น การผลิตสินค้าที่ precision สูงมาก ๆ จนเครื่องจักรเดิมไม่อาจรองรับหรือทำมาตรฐานได้ไม่สูงพอ ไปจนถึงระบบการผลิตที่เครื่องจักรเดิมทำไม่ได้เลย การเดินทางนี้อาจเสี่ยงหน่อยเพราะต้องอาศัยความเร็ว แต่ก็เป็น high-risk high-return เพราะมีโอกาสกำไรและสร้างความได้เปรียบแบบ first-comer advantage
ด้านประสิทธิภาพ เป็นเรื่องที่ควรตัดสินใจลงทุนได้ง่ายสุด ซึ่งที่จริงผู้ประกอบการไทยหลายรายทำมาตลอด โดยเฉพาะ OEM ที่ส่งงานลูกค้าต่างประเทศ เพราะต้องควบคุมต้นทุนให้แข่งขันได้ แต่เมื่อคุมไปได้แล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังไม่พอยังโดนกดลงอีกทุกปีๆ แต่สำหรับ SMEs แทบยังไม่มีการปรับใช้วิทยาการใหม่ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพหรือลดของเสียในการผลิตเลย ยังอาศัยมนุษย์ในงาน ที่มนุษย์เองก็มีขีดจำกัด หรือใช้นโยบาย “รัดเข็มขัด” เพียงอย่างเดียว ทั้งที่ความเป็นจริงองค์ความรู้ ซึ่งเป็นโมเดลการจัดการด้านประสิทธิภาพนั้นมีมานานแล้วและมีอยู่มากมาย เช่นเรื่องเกี่ยวกับ Lean ซึ่ง SMEs ไทยต้องนำมาใช้อย่างเป็นระบบเสียที SMEs แม้จะเล็ก แต่ต้องเป็น “เล็กพริกขี้หนู” จะไม่ได้หมายถึงแค่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แต่ต้องเป็น Smart Management Enterprise
“ผู้ประกอบการ ต้องศึกษาและเลือกว่าประสิทธิภาพด้านใดที่จำเป็นต่อกิจการ เช่น เลือกว่าต้องการลดของเสียจากการผลิต ลดเวลาในคลังสินค้าหรือการลำเลียง ลดความเสี่ยงจากการ turnover ของคนงาน ลดพลังงาน หรือเลือกเพิ่มความสามารถในการ monitor การผลิตแบบ real time ฯลฯ แง่มุมเหล่านี้สามารถเริ่มได้ไม่ยาก ลงทุนไม่มาก อาจคืนทุนได้ในระยะกลางและคุ้มค่าในระยะยาว ขอย้ำว่าผู้ประกอบการไทยต้องเริ่มเรียนรู้ ลงทุนเวลากับเทคโนโลยีใหม่ๆ เมื่อเข้าใจแล้วต้องกล้าลงทุน อย่ารอให้ชัวร์ 100% เพราะคู่แข่งจะแซงไปหมด” คุณเกรียงไกร ระบุอย่างนั้น

นอกจากนี้ รองประธานสภาอุตสาหกรรมฯ ยังกล่าวถึง AUTOMATION EXPO 2019 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค.นี้ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุช พัทยา จังหวัดชลบุรี ว่า เป็นงานแสดงสินค้าที่มีกลยุทธ์น่าสนใจ โดยเลือก automation technology เป็นหัวใจของการจัดงาน ซึ่งสามารถต่อยอดได้อีกหลายมิติ มีเป้าหมายอยากพัฒนา SMEs ทั่วประเทศ นับเป็นการเริ่มต้นที่น่าชื่นชม
ด้านคุณธีระ กิตติธีรพรชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรีนเวิลด์ พับลิเคชั่น จำกัด ผู้จัดงาน AUTOMATION EXPO 2019 เผยว่า คอนเซ็ปต์การจัดงานครั้งนี้ว่า บริษัทเห็นถึงโอกาสการเติบโตอีกมหาศาลของเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องหุ่นยนต์เท่านั้น แต่ลงลึกไปในเรื่องการปรับสายการผลิตให้ Lean มีประสิทธิภาพ มุ่งเผยแพร่องค์ความรู้เชิงประยุกต์ให้แก่ผู้ประกอบการและ System Integrators ที่จะหนุนประเทศไทยให้ต่อยอดจากการเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีสู่การพัฒนาเทคโนโลยี
“งาน Automation Expo 2019 มีจุดเด่นแตกต่างจากงานแสดงสินค้าทั่วไป เราบริหารจัดการ Database Marketing เพื่อศึกษาความต้องการและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นรายคนรายบริษัท ทำให้เราจับคู่ความต้องการด้านสินค้าและหัวข้อความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้เรายังนำเสนอระบบ interactive registration ที่ผู้ชมงานสามารถใช้เป็น electronic business card ได้สะดวกกว่าเคย นอกจากนี้ยังใช้ track การเช็กอินเข้าชมจุดต่างๆ ในงาน จึงสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ทั้งผู้ชมงานและผู้แสดงสินค้า แนวคิด Contents x Database Marketing ของกรีนเวิลด์ฯ จึงทำให้ผู้ร่วมงานอย่างมีความมุ่งหมายที่ชัดเจน คาดหวังผลลัพธ์ได้” ผู้จัดงาน AUTOMATION EXPO 2019 เผย
และว่า อยากเชิญชวนผู้ประกอบการ วิศวกร Startup ในพื้นที่ EEC และจังหวัดใกล้เคียง ร่วมเข้าชมเทคโนโลยีและงานสัมมนาดีๆ ที่ให้ความรู้ด้าน Automation การลงทุน และเพิ่มผลผลิต แถมยังมีสัมมนา FREE ที่มีการปรับเสริมจากปีที่ผ่านมากว่า 45 หัวข้อจากกูรูชั้นนำด้านอุตสาหกรรมของประเทศไทย อาทิ สถาบันไทย-เยอรมัน สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ ผู้ใดสนใจสามารถติดตามและลงทะเบียนได้ทาง www.automation-expo.asia