เพลง-กวิตา จินดาวัฒน์ ลูกแม่อ้อย กาญจนา ปิ๊งไอเดียทำธุรกิจจากใจรัก “รองเท้า-กระเป๋า” แฟชั่น ตัดเย็บจากหนังซาเฟียโน บุกลูกค้าผู้หญิงออนไลน์

นับเป็นหนึ่งในลูกดาราที่มีดีทั้งหน้าตาและความสามารถ สำหรับ เพลง-กวิตา จินดาวัฒน์ ซึ่งนอกจากเดินตามรอย คุณแม่อ้อย-กาญจนา จินดาวัฒน์ โดยฝากฝีมือการแสดงไว้ในละครช่อง 7 หลายเรื่อง ทั้ง เนตรนาคราช, มือเหนือเมฆ รวมถึง สายโลหิต และ สกาวเดือน ที่กำลังถ่ายทำอยู่ สาวสวยดีกรีมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ยังนำความรู้ทางด้านการตลาดมาสร้างธุรกิจของตัวเองด้วย

“ธุรกิจของเพลงเป็นรองเท้าและกระเป๋าค่ะ ชื่อแบรนด์ MIA (มี-อา) ย่อมาจาก My Independent Affairs หมายถึง ความชอบส่วนตัวที่เราจะชอบอะไรก็ได้ ด้วยความที่เราเริ่มต้นจากรองเท้า แล้วคอลเล็กชั่นแรกๆ จะไม่เหมือนรองเท้าร้านอื่นที่ทำรองเท้าบัลเล่ต์ หรือส้นสูงเรียบๆ ที่ใส่ได้ทุกวัน ดูเหมือนกันไปหมด เคยมีคนพูดว่าไม่ค่อยมีรองเท้าสไตล์เราให้เขาได้ซื้อเท่าไหร่ มันสามารถเอาไปมิกซ์แอนด์แมตช์ได้” นางเอกวัย 28 บอกถึงธุรกิจที่เริ่มตั้งไข่ตั้งแต่เมื่อกลางปี 2558

ก่อนจะเล่าถึงที่มาว่า “เดี๋ยวนี้ทุกคนก็อยากเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง เราก็เหมือนกัน เพลงเริ่มทำกับเพื่อนสนิทที่เรียนปริญญาโทที่อังกฤษด้วยกัน เราชอบแฟชั่นเหมือนกันเลยลองทำเป็นร้านรองเท้าเล็กๆ ดู เพื่อนคนหนึ่งออกแบบ อีกคนดูเรื่องการผลิต เพลงดูเรื่องการโปรโมต เรื่องการตลาด อยากทำก็ลงมือทำเลย ไม่ต้องรอว่าพร้อมหรือยัง มีกำลังเท่านี้ อยากทำสิ่งนี้ก็ทำในกำลังที่เรามี แล้วมาดูกันว่ามันเวิร์ก ไม่เวิร์ก สุดท้ายขอแค่เราไม่เจ็บตัวก็พอ”

โดยช่วงเริ่มต้นที่ขายทางออนไลน์ ไม่ว่าจะในอินสตาแกรม mia_bangkok, เฟซบุ๊ก My Independent Affairs-MIA หรือแม้แต่ได้รับเชิญไปออกบู๊ธตามห้างนั้นผลตอบรับดีมาก เพราะร้านค้าออนไลน์ยังมีไม่มากนัก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปลูกค้ากลับไม่คึกคักเท่าที่ควร คนขายจึงต้องเปลี่ยนวิธี

“งานออกบู๊ธไม่เวิร์กแล้ว ส่วนขายทางออนไลน์ด้วยความเป็นรองเท้าก็ต้องมีการลอง เราก็เริ่มเอาไปวางขายในร้านมัลติแบรนด์ที่ขายหลายๆ แบรนด์ในร้านเดียว เราเคยวางขายในร้านที่เสียค่าเช่าแต่ไม่เก็บส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์ เราก็คิดว่าดี แต่เมื่อไปทำจริงๆ เขาไม่เก็บเปอร์เซ็นต์ เขาก็ไม่ช่วยเราขาย ซึ่งเราก็ได้เรียนรู้ข้อดีข้อเสียลองผิดลองถูกมา จนมาเจอ ร้านวียา ที่ชั้น 1 เดอะ พรอมานาด รามอินทรา คุยกันลงตัวเลยไปวางที่ร้านนี้”

และนอกจากปัญหาเรื่องวิธีการขาย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ยังมีปัญหาอื่นๆ ตามมาให้แก้อยู่เรื่อยๆ

“ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้” เพลง สารภาพยิ้มๆ

“แต่ก่อนทุกคนไม่ได้ทำงานประจำ หรือทำธุรกิจที่บ้านก็มีเวลามาได้เต็มที่ แต่พักหลังทุกคนก็มีงานประจำ แต่ละคนมีเวลามาดูได้ไม่เต็มที่ก็มีช่วงที่ขาดช่วงไป มีช่วงที่ไม่ได้อัพเดตของ แล้วก็มีช่วงที่สั่งของแล้วมีปัญหา ได้จำนวนของมามากเกินกำลังที่จะขายได้แต่เราก็ต้องรับผิดชอบทำให้มีช่วงชะงักไป ช่วงนั้นเราก็ต้องพยายามให้เต็มที่ แล้วก็คิดว่าที่เริ่มทำกันคือเริ่มจากการเป็นเพื่อน ความผิดพลาดเราไม่ได้มานั่งโทษกัน ใครผิด ใครถูก มีปัญหาก็ช่วยกัน”

“มันทำให้เราเรียนรู้ว่าการทำธุรกิจต้องทำอย่างไร แบ่งหน้าที่กันอย่างไร หรืออย่างเช่นเรื่องการผลิต บางทีก็ไม่ใช่ประหยัดต้นทุนอย่างเดียวเพื่อให้ได้กำไรเยอะๆ ธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้ เราอาจต้องยอมจ่ายแพงผ่านคนกลางเพื่อให้ได้ของที่คุณภาพดีอย่างที่ต้องการ สุดท้ายเพื่อให้เราขายได้มากกว่า ลูกค้าเชื่อใจมากกว่า เราไม่ต้องมานั่งเสียเวลาในการขอเปลี่ยนของ ของมีปัญหา หรือที่ได้จำนวนของมาเกินด้วยความที่คุยสื่อสารกันเองไม่ดีพอ สุดท้ายต้องรับภาระตรงนั้นมาก็เป็นความผิดพลาดที่ต้องระวังมากขึ้น ถ้ารับมาแล้วจะทำอย่างไรก็ต้องมาคิดต่อ”

“ตอนนี้มันโอเคขึ้น แต่ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน เพลงก็รู้สึกว่าที่เริ่มทำเป็นธุรกิจแรกของเรามันก็ดีกว่าไปลงเรียนคอร์สมาร์เก็ตติ้งแพงๆ อันนี้เราทำจริงๆ แล้วก็รู้เห็นกันจริงๆ ว่าทำแบบนี้คือเวิร์ก ทำแบบนี้คือไม่เวิร์ก” เธอย้ำ

เมื่อเรียนรู้จึงเติบโต…โดยหลังจากปัญหาคลี่คลายด้วยการนำรองเท้าคอลเล็กชั่นเดิมมาทำโปรโมชั่นลดราคา ก่อนจะผลิตคอลเล็กชั่นใหม่ ล่าสุดแบรนด์ MIA ได้ก้าวไปอีกขั้นกับการเพิ่ม “กระเป๋า” เข้ามาในไลน์สินค้าเพื่อเอาใจคนรักเครื่องหนัง

“แบรนด์ของเราเน้นหนังแท้ ตั้งแต่ตอนรองเท้าที่เป็นหนังแท้ทั้งด้านในด้านนอก เพราะจะทนกว่า เก่าแล้วจะสวยกว่า สีไม่ลอก กระเป๋าเราก็เป็นหนังแท้เพื่อให้สอดคล้องกัน โดยจุดเด่นกระเป๋าคอลเล็กชั่นแรกจะทำแบบคลาสสิก ทุกคนถือได้แบบกลางๆ วัสดุจะเป็นหนังซาเฟียโน (saffiano) เป็นหนังที่ทนที่สุดในบรรดาหนังแท้ เป็นรอยยาก โดนน้ำได้ ทรงกระเป๋าก็เป็นทรงที่คนนิยมถือกัน ใช้ง่ายๆ ใช้ไปทำงานได้ทุกวัน ราคา 4,290 บาท เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เพิ่งเรียนจบมาทำงานใหม่ๆ จนถึงทำงานมาสักพักก็ใช้ได้อยู่” เพลง เล่า

พร้อมกับบอกถึงกระแสตอบรับของกระเป๋าซึ่งถือว่าดีมาก เพราะขายง่ายกว่ารองเท้าที่ลูกค้าต้องอาศัยการลองก่อนซื้อ ถึงอย่างนั้นยอดขายที่หน้าร้านกลับดีกว่าการขายผ่านออนไลน์ราวๆ 60 : 40 เนื่องจากสินค้าที่ผู้ซื้อทางออนไลน์เลือกซื้อมักมีราคาไม่สูงนัก แต่หากราคาสูงจะใช้วิธีไปดูที่หน้าร้านมากกว่า

นอกจากนี้ ยังมีประเทศเพื่อนบ้านสนใจอยากจะนำเข้าไปขายที่บ้านเขา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังอยู่ระหว่างพูดคุย เพราะไม่เพียงแต่ละประเทศจะมีเงื่อนไขแตกต่างกัน ในฝั่งของคนทำยังต้องดูแรงกำลังของตัวเองด้วย

“เรื่องการขยายตลาดหรือขยายสินค้าก็ยังคิดอยู่ เราเป็นคนแอบกลัวความเสี่ยงเหมือนกัน ถ้าเสี่ยงลงทุนเยอะๆ ทำสินค้าเยอะๆ ก็กลัว แล้วทั้ง 3 คนเป็นแบบนั้นเลยไม่ค่อยกล้าเสี่ยงขนาดนั้น ค่อยเป็นค่อยไป ช้าแต่ชัวร์ดีกว่า”

ด้วยสำหรับคนทำมองว่า “ตอนนี้กระเป๋า รองเท้า คิดว่าอยู่ได้ อยู่ได้เรื่อยๆ แน่ๆ เพราะตอนนี้มีกลุ่มลูกค้าประจำคอยถามตลอด เมื่อไหร่จะมีอันใหม่ อันนั้นจะกลับมาไหม อันนี้มีสีอื่นหรือเปล่า และถ้าเรามองว่าเป็นอีกงานหนึ่งของเรา ซึ่งตอนนี้ทุกคนมีงานหลัก แล้วก็มีอันนี้เป็นรายได้อีกทางหนึ่ง ไม่ได้ซีเรียสว่าต้องยิ่งใหญ่มากขนาดไหน ทำเท่าที่ทำได้”

“เรามีหุ้นส่วน 3 คน ก็มีบ้างที่ความคิดเห็นไม่ตรงกัน บางคนอยากทำอย่างนี้ บางคนยังไม่อยากก้าวไปจุดนั้น ยังไม่อยากลงทุนเพิ่ม เราไม่อยากทะเลาะกัน ไม่อยากมีปัญหาก็ทำที่ทุกคนสบายใจ และแบรนด์ยังดำเนินไปได้” เพลง เล่า

ก่อนจะฝากทิ้งท้าย “ถ้าอยากทำธุรกิจก็ทำในสิ่งที่เราชอบ แล้วก็เริ่มทำเลย อย่าไปมองว่าตอนแรกถ้าทำแล้วจะไม่เวิร์ก จะไม่ประสบความสำเร็จ จะเสียกำลังใจ มันคงไม่มีใครที่ทำวันแรกแล้วประสบความสำเร็จเลย รวยเลย ทุกอย่างมันต้องเริ่มต้น แต่ถ้าเราไม่เริ่มมันก็ไม่มีวันที่จะเป็น 1 เป็น 2 เป็น 3 ไปได้”

หรือต่อให้เริ่มแล้วต้องชะงักไปบ้างกับสารพัดปัญหา แต่นั่นก็ทำให้รู้ว่าต้องก้าวต่อไปอย่างไร