| เผยแพร่ |
|---|
พอจะเริ่มทำธุรกิจนี้เราก็ต้องเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับกาแฟ เริ่มแรกซื้อหนังสือเกี่ยวกับกาแฟมาอ่านทั้งหนังสือไทย ฝรั่ง เสิร์ชกูเกิ้ล ไปเมืองนอกเพื่อไปนั่งชิมกาแฟจากหลายประเทศ เพื่อให้รู้ว่าอะไรคือร้านกาแฟ อะไรคือเสน่ห์ของร้านกาแฟ แล้วก็ความแตกต่างของร้านกาแฟในแต่ละแบรนด์
“กิ๊ฟท์ซ่า-ปิยา พงศ์กุลภา” นักร้องและนักแสดงอิสระ เข้าสู่วงการด้วยการเป็นนางแบบจากนิตยสาร Katch ของค่าย โดโจ ซิตี้ ในปี พ.ศ. 2541 หลังจากนั้นก็เข้ามาเป็นศิลปินสังกัดอาร์เอส สมาชิกวงเกิร์ลลี่ เบอร์รี่ ในแนวเพลงและลุกส์สาวเซ็กซี่ ทำให้ชื่อของสาวกิ๊ฟท์ซ่าติดโผอยู่ในกลุ่มสาวเซ็กซี่มาร่วม 10 ปี จนกระทั่งสมาชิกเกิร์ลลี่ เบอร์รี่ ต้องแยกย้ายไปเติบโตในเส้นทางของตัวเอง และนั่นทำให้ชื่อของกิ๊ฟท์ซ่าเงียบหายไป ล่าสุด กิ๊ฟท์ซ่าหวนคืนวงการบันเทิงอีกครั้งในฐานะนักแสดงอิสระพร้อมกับการเป็นเจ้าของธุรกิจเปิดร้าน “บ้านหมากพริก คาเฟ่” ควบคู่กันไปด้วย ที่ร่วมกับหุ้นส่วนนอกวงการ “ทรงวุฒิ สัมมาวุ
“บ้านหมากพริก คาเฟ่” ชื่อนี้มีที่มา
กิ๊ฟท์ซ่าเปิดฉากการสนทนา โดยเล่าให้เราฟังถึงที่มาที่ไปของชื่อร้านและวัตถุดิบของกาแฟที่ร้านนั้นมาจากหมู่บ้านหมากพริก อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านชนเผ่าทั้งลีซอ ปกากะญอ ที่ทำการปลูกพืชผลการเกษตรในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
“จุดเริ่มต้นมาจากหุ้นส่วนชวนกิ๊ฟท์มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับโครงการของฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ (โครงการด็อกเตอร์น้ำใจ) แล้วเขามีไร่กาแฟอยู่บ้านหมากพริก จังหวัดแม่ฮ่องสอน เขาเลยอยากเปิดร้านกาแฟที่มีอาหารและบาร์ครบวงจร ออกตัวเลยว่าโดยพื้นฐานเราไม่ใช่คนที่ทานกาแฟมาก่อน แต่เรามองว่ากาแฟอยู่คู่มนุษย์มายาวนาน เรามองแล้วว่ามันน่าจะเป็นอีกบทบาทหนึ่งของชีวิตเราได้ พอจะเริ่มทำธุรกิจนี้เราก็ต้องเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับกาแฟ เริ่มแรกซื้อหนังสือเกี่ยวกับกาแฟมาอ่านทั้งหนังสือไทย ฝรั่ง เสิร์ชกูเกิ้ล ไปเมืองนอกเพื่อไปนั่งชิมกาแฟจากหลายประเทศ เพื่อให้รู้ว่าอะไรคือร้านกาแฟ อะไรคือเสน่ห์ของร้านกาแฟ แล้วก็ความแตกต่างของร้านกาแฟในแต่ละแบรนด์ เราก็พยายามหาข้อแตกต่าง แล้วก็สร้างร้านบ้านหมากพริกไปพร้อมๆ กัน จนได้เปิดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเราก็นำชื่อหมู่บ้านในพื้นที่โครงการพระราชดำริมาตั้งเป็นชื่อร้านเลยว่าบ้านหมากพริก เป็นกาแฟสายพันธุ์ย่อยอาราบิก้า ชาวบ้านที่ปลูกกาแฟนั่นเป็นชนเผ่าลีซอ โดยร้านเราจะใช้กาแฟพันธุ์เดียวเท่านั้น เพื่อที่จะพัฒนากาแฟสายพันธุ์นี้ควบคู่ไปด้วยกันระหว่างเปิดร้าน” นำความเป็นไทยผสมผสานกับสมัยใหม่
เจ้าของร้านเผยถึงคอนเซ็ปต์การตกแต่งร้านที่เธอกับเพื่อนนอกวงการร่วมกันคิดขึ้นมา แม้ว่าสไตล์กาแฟและอาหารจะเป็นสไตล์เหนือแต่เธอก็ดึงความร่วมสมัยตกแต่งร้านในสไตล์ลอฟต์ (Loft) เพื่อให้เข้ากับชีวิตคนเมืองในย่านทองหล่อ
“การตกแต่งร้านเป็นสไตล์ลอฟต์ จะออกแนวดิบๆ หน่อย มันเป็นความชอบของเราทั้งคู่ที่ว่าถึงแม้ว่าเราจะขายกาแฟสายพันธุ์ไทยก็จริง แต่เราอยากผสมผสานให้เข้ากับสมัยใหม่เพื่อให้เข้ากับพื้นที่ทำเลย่านทองหล่อ ในร้านจะเป็นฟีลใครอยากจะมานั่งทำงานก็สามารถมานั่งได้ นัดเพื่อน นัดลูกค้า สามารถทำได้หมด เรามีปลั๊กให้สำหรับทุกโต๊ะเพื่อพร้อมทำงาน แล้วก็จะมีการตกแต่งรูปนกฮูกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโครงการด็อกเตอร์น้ำใจด้วย ตอนนี้ที่ร้านมี 2 ชั้นไว้สำหรับทานกาแฟและทานอาหาร ซึ่งจะเน้นอาหารเหนือเป็นหลักเพราะกาแฟเราก็มาจากทางเหนือ เป็นเมนูทดลองแค่ 10 เมนู โดยอาหารเหนือนี้เราได้คนครัวมาจากหมู่บ้านหมากพริกเลย ก็เรียกว่าเป็นอาหารเหนือของแท้ ต่อไปเราจะเปิดเป็น 3 ชั้น ชั้น 3 นี้สำหรับแขกวีไอพี ไว้สำหรับรับแขกผู้ใหญ่ แล้วก็จะมีโซนสวนข้างนอกไว้ทำพื้นที่ทานอาหารและทำเป็นลานกิจกรรม สำหรับไว้เล่นคอนเสิร์ต ให้เช่าสถานที่ทำกิจกรรมในสวนศิลปะ เสวนา เป็นการทำกิจกรรมดีๆ กลางคืนหน้าหนาวจะมีเพลงแจ๊สให้ฟัง ให้เข้ากับบรรยากาศ อาหารก็จะมีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อรองรับแขกที่หลากหลาย”
อิ่มอร่อยและได้ทำบุญ
นอกจากกาแฟจะมาจากพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้ว ทุกๆ 5 บาทของใบเสร็จ “บ้านหมากพริก คาเฟ่” ยังนำเงินส่วนต่างไปช่วยทำบุญสมทบทุนโครงการ ด็อกเตอร์น้ำใจ โครงการส่วนพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เพื่อช่วยเหลือสัตว์ทุกข์ยาก และภายในร้านยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกของโครงการดังกล่าวด้วย
“เวลามาซื้อของที่ร้าน เราจะมีตู้ให้หยอดใบเสร็จ 5 บาทของใบเสร็จคุณเราจะนำไปทำบุญให้กับ โครงการด็อกเตอร์น้ำใจ ของฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ เราก็จะนำเงินไปบริจาคทุกเดือนให้มูลนิธิ นอกจากนี้ ภายในร้านจะมีมุมหนึ่งที่ขายสินค้าที่ระลึกของโครงการด้วย เงิน 100 เปอร์เซ็นต์นำเข้าโครงการทั้งหมดเลยเพื่อช่วยเหลือสัตว์ยากไร้ เป็นของที่มาจากวัง คือเราอยากสร้างสรรค์สิ่งดีๆ คืนเรื่องราวดีๆ ให้กับคนเมืองบ้าง ซึ่งเราเองหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะเป็นส่วนเล็กๆ ที่สามารถแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ของพระองค์ท่านได้บ้างไม่มากก็น้อย”
ทำธุรกิจให้สำเร็จยากกว่าที่คิด
เมื่อถามถึงขั้นตอนการดำเนินงานทำธุรกิจนั้น สาวกิ๊ฟท์ซ่าถึงกับร้องเสียงหลงเลยว่า การจะทำธุรกิจให้สำเร็จนั้นมันยากกว่าที่คิดไว้เยอะ ซึ่งตนและหุ้นส่วนได้ผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วถึง 5 เดือนกว่าจะเข้าใจวงจรการทำธุรกิจร้านอาหารดีพอ
“เหนื่อย ยากกว่าที่เราคิดไว้ แต่มันก็สนุกดี มันจะมีจุดที่ฝึกความอดทนเราในช่วงที่ต้องใช้เวลา มีจุดที่ต้องรีบ ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างเราต้องวางแผนไว้อย่างดีจริงๆ เราเองมือใหม่ทั้งคู่ เราไม่ได้คิดเรื่องการวางแผนไว้เลย เราพร้อมลุย ไม่มีการวางแผนอะไรเลยทั้งสิ้น พอเราทำมาได้ 5 เดือนเห็นเลยว่าสิ่งที่ทำมามันเริ่มไม่ใช่ เราต้องกลับมานั่งวางแผนกันใหม่ เรียกว่ากลับมาที่จุดเริ่มต้นเพื่อให้ทุกอย่างเป็นระบบ แต่ไม่ซีเรียสนะ เพราะเข้าใจว่าเราไม่ใช่คนที่ทำธุรกิจ ไม่มีความเชี่ยวชาญทางนี้เลย ทั้งเรื่องการวางแผน เรื่องตัวเลข เป็นประสบการณ์ใหม่ของเราจริงๆ แต่ระหว่างทางที่ลุยกันมาเราก็ได้ประสบการณ์เอามาปรับใช้ลองผิดลองถูกกันมา 5 เดือน เลยรู้ว่าต้องทำอะไรเพิ่มขึ้นบ้างในระหว่างทาง แล้วจ้างคอนซัลต์มาช่วยทำงานเสริมด้วย พอทำเข้าจริงๆ มันเล็กๆ เล่นๆ ไม่ได้เลย กลายเป็นว่าทุกอย่างจริงจังไปหมด มันก็เหมือนบทพิสูจน์ เพราะถ้าเราเล่นๆ ทุกอย่างมันเดินไปข้างหน้าไม่ได้”
ยากที่สุดของธุรกิจคือการบริหารคน
กิ๊ฟท์ซ่าเล่าต่อถึงจุดพีกที่ยากที่สุดสำหรับการทำธุรกิจนั้นเป็นเรื่องของการวางระบบและการบริหารจัดการโดยเฉพาะเรื่องของทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นอะไรที่ยากและตนก็ให้ความสำคัญมากๆ ในการคัดเลือก
“ยากที่สุดคือการจะหาคนมาดูแลธุรกิจในตำแหน่งต่างๆ ของธุรกิจเรา การเลือกเฟ้นหาคนที่ดีพอที่จะทำให้ร้านของเราเดินไปข้างหน้าได้ ตรงนั้นยากมากในการบริหาร เราไม่รู้จักเขามาก่อน แล้วต้องมาอยู่ด้วยกันเพื่อทำให้ธุรกิจดีขึ้น มันเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ในการเลือกสรรและบริหารทรัพยากรมนุษย์ ต้องวางระบบให้ได้เพื่อให้ระบบมันบังคับงานให้มันเกิดขึ้นได้ และที่สำคัญคือ การรักษามาตรฐานทั้งบริการและอาหาร ธุรกิจจะเดินไปข้างหน้าได้ขึ้นอยู่กับการวางแผนและการบริหารจัดการ เอาจริงๆ จากใจ ใครสนใจอยากจะทำร้านอาหาร ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนที่ชื่นชอบการทานอาหารหรือชอบนั่งตามร้านกาแฟแบบนี้ คุณควรเลือกเป็นอาชีพสุดท้ายที่คุณจะลงทุน ด้วยคู่แข่งเยอะมากจริงๆ”
นำกาแฟสายพันธุ์ไทยสู่ระดับโลก
สุดท้าย กิ๊ฟท์ซ่า เผยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มถึงอนาคตร้าน “บ้านหมากพริก คาเฟ่” ว่า สิ่งสำคัญของธุรกิจนี้ไม่ได้อยู่ที่การขยายสาขาของร้าน แต่เธอและหุ้นส่วนตั้งใจเตรียมพัฒนาสูตรกาแฟอาราบิก้าของหมู่บ้านหมากพริกในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินี้ให้ดังเป็นที่รู้จัก และสามารถส่งออกขายไปทั่วโลกได้
“หลักๆ ธุรกิจของเราไม่ได้ต้องการเพียงแค่ร้านอาหาร หลักๆ คือการพัฒนากาแฟ ตอนนี้พอจะโอเคแล้วกับการทำกาแฟให้กับคนไทยได้ชอบ แต่ต่อไปจะพัฒนากาแฟสายพันธุ์นี้ให้คนทั่วโลกได้ชอบดูบ้าง นี่คือธุรกิจจริงๆ ของเรา กาแฟจะเป็นสิ่งที่จะสร้างชื่อเสียงให้ที่นี่ เราโฟกัสกาแฟเป็นอันดับ 1 ซึ่งเราวางแผนกันว่าหลังจากทำให้ร้านนี้คืนทุนแล้วเราจะกลับไปจุดเริ่มต้น คือการพัฒนากาแฟ วางไว้อีก 5 ปีคืนทุน ซึ่งมองว่านานนะคะ เพราะไม่ได้ขายของแพง อยากให้ร้านบ้านหมากพริกเป็นร้านสำหรับทุกคน ไม่ใช่อยู่ทองหล่อแล้วจะต้อนรับแต่ไฮโซ ดาราอะไรเท่านั้น คนทั่วไปก็มาทานได้ เด็กนักเรียนก็มาทานได้ เราเตรียมแผนที่จะพากาแฟบ้านหมากพริกไปสู่ระดับโลก และสามารถส่งออกได้ทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ฝีมือคนไทย”
อยากสัมผัสบรรยากาศชิลๆ พร้อมร่วมทำบุญจิบกาแฟรสชาติเข้มข้น หอมกรุ่นอาราบิก้า ชิมขนมจากสูตรพระตำหนักจักรีบงกช พร้อมอาหารเหนือต้นตำรับ เชิญได้ที่ร้าน “บ้านหมากพริก คาเฟ่” ระหว่างเอกมัย 20-22 หาไม่ยาก มีที่จอดรถด้านหลังร้าน ร้านเปิดทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น. โทรสอบถามเส้นทาง (095) 668-8033 หรือสนใจเข้าไปชมบรรยากาศร้านใน Fanpage Facebook : BAAN MAK PRIK café หรือ Instagram : baanmakprik_cafe
