ผู้เขียน | เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
“สินค้าขายดีบนโลกออนไลน์ เราวัดจากอะไร? ค้นหาคำตอบง่ายๆ ด้วย KWFinder…”
สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่าน เอ่ยถึง SEO (Search Engine Optimization) เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงรู้จักดี และคงไม่ต้องอธิบายอะไรกันยืดยาว เพราะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้หน้าเพจของคุณติดอันดับต้นๆ สำหรับการค้นหาผ่าน Search Engine อย่าง Google
ถามว่าจำเป็นไหมที่เราต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ขอบอกเลยว่าจำเป็นและสำคัญมาก เพราะหากคุณเป็นนักการตลาดออนไลน์ สินค้าที่ขายหากไม่ติดอันดับการค้นหาในหน้าแรกโอกาสที่ลูกค้าจะรู้จักหรือซื้อก็คงน้อยลง แล้วทำอย่างไรถึงจะมีโอกาส คำตอบก็คือ เลือกใช้คีย์เวิร์ดให้เป็น ก่อนหน้านี้ผมเคยแนะนำ Keyword Planner ซึ่งอยู่ภายใต้ชุดเครื่องมือ Google Adwords ที่ช่วยวิเคราะห์หาแนวโน้มทางการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายโดยใช้กลุ่มคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเป็นตัวค้นหากันไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งเครื่องมือซึ่งมีประสิทธิภาพไม่ต่างอะไรจาก Keyword Planner นั่นก็คือ KWFinder ผมมักจะติดปากเรียกว่า “ผู้ช่วยวิจัยตลาดออนไลน์” แต่ต้องบอกก่อนว่า ตัวนี้ไม่ฟรีนะครับ มีค่าใช้จ่ายนิดหน่อย
วิธีลงทะเบียนใช้งาน KWFinder
- เปิดเบราเซอร์ขึ้น แล้วพิมพ์ชื่อเว็บ https://kwfinder.com/
- คลิกปุ่ม Register Now ที่อยู่ด้านขวาบนของหน้าเว็บ
- หน้าลงทะเบียนจะปรากฏขึ้นมา ให้กรอกข้อมูลตามที่ปรากฏ แล้วคลิกปุ่ม Continue to KWFinder
เริ่มต้นการใช้งาน KWFinder
- พิมพ์ชื่อสินค้าที่ต้องการค้นหาลงในช่อง Enter the keyword
- ปรับแต่งภาษาเป็น “Thai” และประเทศเป็น “Thailand” เพื่อกำหนดขอบเขตของการค้นหาให้ชัดเจนขึ้น
- คลิกปุ่ม Find keywords เพื่อยืนยันการค้นหา
อ่านเป็นเห็นกำไร
จากตัวอย่างที่แสดงการค้นหาเกี่ยวกับ “แชมพูสมุนไพร” หลังจากที่เราป้อนคีย์เวิร์ดไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ปรากฏจะเป็นตารางด้านซ้ายซึ่งบอกถึงปริมาณการค้นหารายเดือนโดยเฉลี่ยค่าตัวเลข 9,900 ครั้งที่คอลัมน์ Search ในรอบระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงเสนอคีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาสูงสุดในขณะนั้นซึ่งจะเห็นว่า “ยาปลูกผม” ถูกค้นหามาเป็นอันดับต้นๆ รองลงมาจะเป็น “ผมร่วง” ถามว่าคำเหล่านี้มีประโยชน์อย่างไรต่อสินค้าที่เราผลิต คิดง่ายๆ หากเรานำคีย์เวิร์ดที่ถูกค้นหาบ่อยๆ นำมาใส่ไว้ในสินค้าของเรา โอกาสที่สินค้าของเราจะถูกค้นหาก็จะมีมากขึ้นจริงไหมครับ?
บทสรุป “KWFinder ผู้ช่วยวิจัยตลาดออนไลน์”
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่าเครื่องมือตัวนี้ไม่ฟรี แต่สามารถทดลองใช้ได้จำนวน 5 ครั้งหลังจากที่ลงทะเบียนไปแล้ว แต่ถ้าหากเราสนใจก็ค่อยทำการสั่งซื้อภายหลัง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจที่ช่วยให้สินค้าของเรามีโอกาสค้นหาได้ง่ายขึ้น และยังมีโอกาสติดหน้าแรกบน Search Engine อีกด้วย ข้อดีของเครื่องมือตัวนี้หากเทียบกับ Keyword Planner ค่าตัวเลขที่แสดงความถี่จะไม่บอกเป็นช่วง อย่างเช่น 1K-10K ครั้ง แต่จะลงลึกบอกถึงตัวเลขจริงที่พบเจออย่างในตัวอย่างจะบอกว่าเจอถึง 9,900 ครั้งในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การใช้ประโยชน์คอลัมน์ Trend ทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น โดยดูจากแท่งกราฟเล็กๆ ที่แสดงอยู่หากสินค้าใดได้รับความนิยมแท่งกราฟจะไม่ขึ้นลงโดดไปมาหรือวูบวาบจนเกินไป ฝึกหัดใช้เพียงแค่ 2 คอลัมน์นี้เราก็สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ของสินค้าที่จะนำมาขายบนโลกออนไลน์ได้แล้ว ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ
แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้า สวัสดีครับ