“เลิศ ถาวรว่องวงศ์” GEN 4 พลิกโฉมรร.-อสังหาเครือถาวรภูเก็ต

นับเป็นเวลากว่า 5 ปีที่ “เลิศ ถาวรว่องวงศ์” เจเนอเรชั่น 4 ของตระกูลถาวรว่องวงศ์ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ของจังหวัดภูเก็ตที่ดำเนินกิจการมากมายมายาวนาน ทั้งโรงแรม 3 แห่ง ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ได้แก่ โรงแรมถาวร อ.เมืองภูเก็ต โรงแรมฟูลเซอร์วิสแห่งแรกของภูเก็ต โรงแรมถาวร บีช วิลเลจ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต บริเวณหาดนาคาเลย์ ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต และโรงแรมถาวร ปาล์ม บีช รีสอร์ท บริเวณหาดกะรน อ.เมืองภูเก็ต

รวมถึงอสังหาริมทรัพย์กลางใจเมืองภูเก็ต คานซ่อมเรือ และเป็นแลนด์ลอร์ดเจ้าของที่ดินหลายพันไร่ในจังหวัดภูเก็ตและพังงา มูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 7,750 ล้านบาท ได้เข้ามารุกปรับโฉมธุรกิจเครือถาวร โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท อย่างจริงจัง หลังจากปี 2540 บริษัทประสบภาวะการเงินอย่างต่อเนื่อง

ด้วยดีกรีปริญญาตรีคณะ School of Hotel Administration มหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐอเมริกา สายตรงด้านการบริหารโรงแรม ทำให้ระยะเวลาเพียง 5 ปี รายได้รวมของ 2 โรงแรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

โดยปี 2561 คาดว่าจะสามารถทำรายได้ถึง 525 ล้านบาท ขณะที่ปี 2557-2560 รายได้อยู่ที่ 290, 380, 450 และ 515 ล้านบาทตามลำดับ

จนกระทั่งปี 2559 เครือถาวรฯเริ่มกลับมามีกำไรอีกครั้งหนึ่งในรอบ 20 ปี พร้อมกันนี้ได้ตั้งเป้าผลักดันรายได้รวมปี 2562 ให้เติบโตถึง 600 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นตลาดประชุม ตลาดเวดดิ้ง หรือการสร้างที่พักอาศัยเพิ่มขึ้น พัฒนาอัพแวลูห้องมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนเป็นห้องพักติดสระว่ายน้ำ (pool access) มากขึ้น

“เลิศ” ประธานบริหารเครือถาวร กล่าวว่า เข้ามาดูแลบริหารหลัก ๆ 2 แห่ง คือ 1.โรงแรมถาวร บีช วิลเลจ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต จำนวน 185 ห้อง ซึ่งจุดเด่นมีพื้นที่ค่อนข้างมากเกือบ 100 ไร่ เป็นโรงแรมเดียวบนหาดนาคาเลย์ มีพื้นที่สีเขียวมาก มีห้องพักหลากหลายวิว ทั้งห้องพักบนเขา หน้าหาด และติดสระน้ำ และมีการรับ-ส่งผู้เข้าพักห้องพักบนเขาด้วยระบบรถราง ซึ่งในภูเก็ตมีเพียง 2 แห่งเท่านั้น ขณะนี้ใช้พื้นที่ไปเพียง 50-60% และ 2.โรงแรมถาวร ปาล์ม บีช รีสอร์ท จำนวน 211 ห้อง เนื้อที่ 36 ไร่

ช่วงเริ่มแรกที่เข้ามานั้นโรงแรมค่อนข้างโทรม ไม่มีการปรับปรุง ประกอบกับไม่ได้มีการทำตลาดเลย ทำให้ช่วงแรกมีอัตราการเข้าพักเพียง 9% เท่านั้น จึงเริ่มคุยกับคุณพ่อ “เจริญ ถาวรว่องวงศ์” ว่า ต้องปลดทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นออก ซึ่งสามารถตัดหนี้ไปได้กว่า 1,800 ล้านบาท

และเริ่มมีการปรับเปลี่ยน ด้วยการเข้าไปเป็นเซลส์เอง หาเอเยนซี่เอง ต่อรองราคากัน โดยช่วงแรกลดราคาลงมาเหลือ 1,700 บาท/ห้องเท่านั้น เริ่มมีการบริหารจัดการเงินสด ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไม่รับพนักงานเพิ่ม พร้อมทั้งการเข้าไปเจรจากับซัพพลายเออร์ทุกอย่าง เช่น ก๊อกน้ำ กระเบื้อง สบู่ เป็นต้น นับว่าเป็นนักธุรกิจที่ลงมือทำเองทุกอย่างจริง ๆ

ขณะเดียวกันในส่วนของห้องอาหารได้ปรับเปลี่ยนปิดการบริการไปบางส่วน จากเดิม 5 ห้อง เหลือเพียง 3 ห้อง มีการทำสต๊อกและสโตร์เองทั้งหมด ที่สำคัญคือการปฏิวัติด้านการเงินของโรงแรม ให้ผลกำไร-ขาดทุนโปร่งใสมากขึ้น เริ่มทำการตลาดเอง สร้างสภาพคล่องทางการเงิน เริ่มทำงบฯกระแสเงินสดให้ละเอียดมากขึ้นด้วย จนทำให้โรงแรมมีกำไรมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ จนปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักถึง 91% และปัจจุบันเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 90% ได้แก่ จีน รัสเซีย ยุโรป และชาวไทยเพียง 10%

ในอนาคตอีก 3-10 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าปรับปรุงโรงแรมถาวรให้เป็นแลนด์มาร์กของจังหวัดภูเก็ต และเตรียมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กลางเมืองภูเก็ต ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินประมาณ 400 กว่าไร่ ซึ่งมีผู้เช่าหลายพันราย เพื่อให้พื้นที่มีมูลค่ามากขึ้น จะทำลักษณะคล้ายสยามสแควร์ และลงทุนขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม เช่น เอเย่นต์ นอกจากนี้ มีแนวคิดที่จะขยายการลงทุนด้านธุรกิจรีสอร์ตไปต่างประเทศ

“ผมมองว่าอาจจะเป็นเรื่องยากในปีแรก แต่อาจให้โอกาสที่เราไม่รู้ ทุกวันนี้ยังบอกได้เต็มปากว่าผมรักทุกอย่างที่เป็นธุรกิจโรงแรม ถึงแม้จะทำให้ผมเจ็บปวดสาหัสมากก็ตาม

ขณะนี้ยังมีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยคิดจะขยายโรงแรมต่อ ถ้าหากไม่สามารถพัฒนาธุรกิจที่มีอยู่ให้ถึงขีดสุดที่สามารถไปได้ และจะพัฒนาบริการของโรงแรมให้ดีขึ้น ผมจะเริ่มทำจากของที่ได้เงินก่อน อะไรที่ทำแล้วไม่คืนทุนใน 2 ปี ผมไม่ทำ เพราะขณะนี้ตลาดโรงแรมในภูเก็ตถือว่าโอเวอร์ซัพพลายมากกว่า 100,000 ห้อง”