สูตรน้ำซุปจากอาม่าทำเงินให้คุณหมอ ต่อยอดกลายเป็นธุรกิจ “น้ำสต๊อกเด็ก”

มีหลายปัจจัยที่ทำให้เด็กบางคนทานยาก หรือทานอาหารได้น้อย ส่วนหนึ่งมาจากรสชาติที่ไม่ถูกปาก หรือบางเมนูที่ลูกอยากทาน แต่คุณแม่ไม่ให้ทาน เพราะไม่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เลยทำให้ทุกครั้งที่เด็กทานข้าวก็มักจะทำหน้าเบื่อโลกให้คุณแม่ได้เห็นอยู่เป็นประจำ

“หอมกรุ่น” แบรนด์น้ำสต๊อกเด็กสำเร็จรูป ที่ได้จากการเคี่ยวผัก 5 ชนิด และกระดูกสัตว์ นานกว่า 6 ชั่วโมง จนสารอาหารทั้งหมดละลายออกมาจากวัตถุดิบ กลายเป็นน้ำซุปที่เข้มข้น นำไปปรุงอาหารให้มีรสชาติดีขึ้น มีประโยชน์ต่อเด็กทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป เพราะดูดซึมง่าย เจ้าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว คือ แพทย์หญิงอัจฉรา สัมฤทธิวณิชชา หรือ คุณหมออ้อ

img_8432

ปรับสูตรจากอาม่า
ต่อยอดกลายเป็นธุรกิจ

อดีต หมออ้อเคยเป็นแพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ หลังจากมีครอบครัวพร้อมลูกน้อย 2 คน เธอหันมาเปิดคลินิกผิวหนังเป็นของตัวเอง พร้อมกับเป็นเจ้าของกิจการน้ำสต๊อกเด็กหอมกรุ่น

สำหรับที่มาของสูตรน้ำสต๊อก หมออ้อ เล่าว่า เวลาลูกๆ ทานอาหารที่อาม่าทำให้มักทานเยอะกว่าอาหารที่ตัวเองทำให้ ด้วยความสงสัยเลยถามอาม่าว่า มีวิธีการอย่างไร ซึ่งก็ได้คำตอบว่า จะใช้น้ำสต๊อกหรือน้ำซุปที่เคี่ยวเองมาเป็นส่วนผสมในการปรุงอาหารทุกครั้ง ดังนั้น จึงเรียนรู้การทำน้ำสต๊อก พร้อมกับใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาปรับปรุง

“ตอนมีลูกคนแรกได้คุณแม่ของสามีมาช่วยเลี้ยง ซึ่งท่านทำอาหารอร่อย หลานกินข้าวได้เยอะ พอมีลูกคนที่ 2 ดิฉันลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกเอง ซึ่งลูกมักไม่ชอบอาหารที่ทำ เลยถามอาม่าว่าทำอาหารยังไงให้อร่อย ซึ่งพบว่าท่านใช้น้ำสต๊อกมาปรุงอาหาร โดยตื่นตั้งแต่ตี 4 ขึ้นมาเคี่ยวน้ำสต๊อก วัตถุดิบมีเพียงผักและกระดูกหมู นับจากนั้นก็เริ่มเรียนรู้และลงมือทำ”

12028727_1500174743608440_1337977147356999795_o

เมื่อหมออ้อรู้วิธีและขั้นตอนการทำน้ำสต๊อก เธอพบว่า น้ำสต๊อกนั้นกว่าจะได้มา ใช้เวลานานหลายชั่วโมง เพราะต้องเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ต้องรอจนกว่ากระดูกหมูจะเปื่อย ผักละลายกลายเป็นน้ำ ขณะเดียวกัน ตามท้องตลาดไม่มีน้ำสต๊อกสำหรับเด็กวางจำหน่าย เลยเกิดไอเดียทำขาย เพราะคิดว่า คงจะมีบรรดาคุณแม่ที่ประสบปัญหาเดียวกัน ฉะนั้น ธุรกิจนี้จึงเริ่มต้นขึ้น

หมออ้อ อธิบายว่า น้ำสต๊อก คือ น้ำที่ได้จากการเคี่ยวผัก กับกระดูกหมู หรือกระดูกไก่ จนสารอาหาร และรสชาติละลายออกมา กลายเป็นน้ำซุปที่เข้มข้น น้ำสต๊อกที่ทำมี 4 ชนิดตามกระดูกที่นำมาเคี่ยว ได้แก่ น้ำสต๊อกหมู น้ำสต๊อกไก่ น้ำสต๊อกปลา น้ำสต๊อกสีน้ำตาลใช้กระดูกมาอบก่อน แล้วค่อยไปเคี่ยว

“น้ำสต๊อกต้องผ่านการเคี่ยวอย่างเต็มที่ นาน 6-8 ชั่วโมง จะอุดมไปด้วยโปรตีนที่เป็นโมเลกุลเล็ก รวมถึงวิตามินบี วิตามินเอ แคลเซียม และแร่ธาตุต่างๆ ที่ได้จากกระดูก ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับเด็กๆ ทำให้ดูดซึมผ่านลำไส้เด็กเล็กๆ ได้ง่าย”

กว่าจะได้สูตรที่ลงตัว หมออ้อพัฒนาสูตรที่ได้เรียนรู้จากอาม่า เธอเล่าว่า ทดลองเคี่ยวน้ำสต๊อก จนพบว่าระยะเวลา 6 ชั่วโมงเป็นเวลาที่เหมาะสม เพราะกระดูกหมูและผักจะเปื่อยนิ่ม จากนั้นนำไปกรอง เหลือแต่น้ำ โดยกระบวนการผลิตจะใช้วิธีการพาสเจอไรซ์ และแช่ในตู้เย็นที่อุณหภูมิลบ 40 องศา ไม่ใส่วัตถุปรุงแต่งอาหาร ปราศจากสารกันบูด เก็บได้นาน 3 เดือน

homgroon-3

ลูกกินอาหารได้ เติมเต็มความสุขแม่

สำหรับวัตถุดิบที่ทางผู้ผลิตเลือกใช้ สูตรหมู จะใช้กระดูกซี่โครงหมูสันหลัง เพราะไขมันน้อย ส่วนสูตรน้ำสต๊อกไก่ เลือกใช้เนื้อไก่ที่นำเอาหนังออกลงไปต้มทั้งตัว และซี่โครงไก่ เนื้อสัตว์เลือกใช้จากฟาร์มระบบปิดของเบทาโกร เพราะเลี้ยงแบบปลอดสาร ส่วนผักที่ใช้มี 5 ชนิด ได้แก่ ไชเท้า แคร์รอต กะหล่ำปลี ข้าวโพด และหัวหอม ผักที่ใช้ซื้อจากโครงการหลวง เพราะมีความเชื่อมั่นว่าปลอดภัย ก่อนใช้ก็นำมาล้างน้ำด้วยวิธีให้น้ำไหลผ่าน 3 รอบ จากนั้นแช่น้ำด้วยเบกกิ้งโซดา เพราะเบกกิ้งโซดาช่วยล้างสารตกค้างได้มากถึง 95 เปอร์เซ็นต์

ถามเจ้าของผลิตภัณฑ์ว่าทำไมน้ำสต๊อกเด็กถึงขายได้ คุณหมอ กล่าวว่า เด็กที่ไม่ยอมทานอาหารยังคงเป็นปัญหาที่คุณแม่พบเจออยู่บ่อยๆ ซึ่งคุณแม่เหล่านี้ก็อยากจะทำอาหารดีๆ ให้ลูกได้ทาน แต่ติดว่าไม่มีเวลา เพราะผู้หญิงปัจจุบันสวมหลายบทบาท ซึ่งการมานั่งเคี่ยวน้ำสต๊อกนาน 6 ชั่วโมง รวมถึงกว่าจะล้างผัก ล้างเนื้อสัตว์ เป็นเรื่องที่เสียเวลามาก เมื่อมีน้ำสต๊อกรสชาติถูกใจลูก คุณภาพได้มาตรฐานปลอดภัย น่าจะเป็นทางออกที่ดีเหมาะกับเด็กวัย 6 เดือน ถึง 1 ปีขึ้นไป

“หลายคนคิดว่า เด็กไม่รับรู้รสชาติ แต่จริงๆ เด็กสามารถรับรู้รสชาติอาหารเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ซึ่งน้ำสต๊อกดังกล่าวมีความหวาน และกลิ่นหอมจากกระดูกหมูและไก่ ทำให้อร่อยและถูกปากลูกน้อย”

ในส่วนของการทำตลาด เจ้าของกิจการขายผ่านเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ และออกบู๊ธตามงานแสดงสินค้า อาทิ งานแม่และเด็ก ซึ่งลูกค้า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นคุณแม่ อีก 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นกลุ่มคนที่ทานคลีน

13886907_1591989977760249_3392540159601197537_n