“เล็ก-ณพาภรณ์” เปิดโรงแรมใหม่ ต่อยอดตำนาน “ปาร์คนายเลิศ”

หลังจากที่ประกาศเลิกกิจการโรงแรม เป็นข่าวใหญ่ไปเมื่อปลายปี 2559 ตอนนี้ นายเลิศ กรุ๊ป เจ้าของโรงแรมปาร์คนายเลิศ กำลังจะสร้างโรงแรมใหม่ บนที่ดิน “ปาร์คนายเลิศ” ผืนเดียวกันกับโรงแรมเดิม ซึ่งก่อนหน้าที่จะขายโรงแรมปาร์คนายเลิศ ที่ดิน “ปาร์คนายเลิศ” มีอาณาบริเวณตั้งแต่ริมคลองแสนแสบไปจนจดรั้วสถานทูตอังกฤษ รวม 35 ไร่ ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่อายุเก่าแก่ที่อยู่มาคู่กับชื่อปาร์คนายเลิศ หลังจากขายโรงแรมและที่ดินไป 15 ไร่ ปัจจุบันยังเหลือ 20 ไร่ เพียงพอให้ทายาททำอะไรต่อยอดได้อีกเยอะ

ประชาชาติธุรกิจ ได้คุยกับ เล็ก-ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมบัติเลิศ จำกัด บริษัทในเครือนายเลิศ กรุ๊ป อัพเดตธุรกิจที่เธอทำในนามผู้บริหารปาร์คนายเลิศ รวมถึงมุมมอง ความคิด การทำงาน และเรื่องส่วนตัวอีกจิปาถะ

ณพาภรณ์ให้ข้อมูลว่า ธุรกิจที่ทำอยู่ในปัจจุบันประกอบด้วย ร้านอาหารไทย มา เมซอง (Ma Maison), ร้านอาหารตะวันตก เลดี้ แอล การ์เดน บิสโทร (Lady L Garden Bistro), ธุรกิจจัดเลี้ยง ไวท์บัส เคเทอริ่ง (White Bus Catering), บ้านปาร์คนายเลิศ เรือนไม้สักอายุกว่า 100 ปีของพระยาภักดีนรเศรษฐ (นายเลิศ เศรษฐบุตร) ที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชม, นายเลิศบัตเลอร์ (Nai Lert Butler) โรงเรียนสอนบัตเลอร์แห่งแรกในประเทศไทย และโปรเจ็กต์ใหญ่ที่กำลังจะเกิดก็คือ โรงแรมใหม่ ซึ่งเธอบอกว่าทุกอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้สามารถเลี้ยงตัวเองได้

ส่วนโรงแรมใหม่ที่มีโครงการจะสร้าง ตั้งชื่อไว้แล้วว่า Nai Lert Park Hotel And Residences เล็กให้รายละเอียดว่า เป็นมิกซ์ยูสโฮเทลและเรสซิเดนซ์ระดับ luxury สูง 30 ชั้น บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ครึ่ง ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมแบบleasehold 100 ห้อง และบูติค โฮเทล 60 ห้อง งบฯลงทุนรวม 2,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำ EIA

“ชื่อโรงแรม Nai Lert Park Hotel And Residences มันหนีไม่ได้ ชื่อนายเลิศนี่ศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับเล็ก เป็นชื่อคนที่กลายเป็นแบรนดิ้งที่แข็งแรง กว่าจะทำให้แบรนดิ้งนี้แข็งแรงได้ ไม่ใช่ว่าเล็กเก่งนะคะ เขาสร้างกันมา 140 ปี งานเล็กง่ายมากเลยค่ะ แค่ทำใหอยู่ได้ต่ออีกร้อย ๆ ปี”

เพิ่งปิดกิจการโรงแรมใหญ่ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นคุณยาย แต่เหตุใดจึงคิดอยากทำโรงแรมอีกครั้ง เล็กบอกเหตุผลว่า ความคิดอยากทำโรงแรมเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ เพราะเธอชอบต่อยอด พอเข้ามาทำงานในบริเวณนี้ทุกวันจึงมีความคิดอยากทำอะไรต่อยอด บวกกับมีลูกค้าบอกว่า ที่ปาร์คนายเลิศมีร้านอาหารแล้ว แต่ไม่มีที่พัก และเวลาลูกค้าใช้พื้นที่จัดงานแต่งงานก็ไม่มีที่พักสำหรับเจ้าบ่าวเจ้าสาว “มันยังไม่ครบวงจร” คุณหนูเล็กแห่งปาร์คนายเลิศสรุป

“เล็กชอบทำอะไรที่มัน 360 องศา ครบวงจร ก็เลยคุยกับคุณแม่ว่า เราสร้างโรงแรมมั้ย ก็พอจะรู้อยู่ว่าควรบริหารยังไง ควรจะทำยังไง คิดว่าพร้อมที่จะสร้างโรงแรมใหม่ขึ้นมา”

เล็กบอกว่า ตัวเลขทางการเงินไม่ได้เป็นเป้าหมายอันดับแรก เพราะเป้าหมายอันดับแรกที่ชัดเจนที่สุด คือ อยากต่อยอดสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างเอาไว้ สืบสานต่อยอดให้ปาร์คนายเลิศอยู่คู่กับสังคมไทยไปได้เรื่อย ๆ

“ที่เล็กทำอยู่ตอนนี้คือ อยากให้ปาร์คนายเลิศอยู่คู่กับประเทศไทย อยากให้คนต่างชาติรู้ว่าเมืองไทยของเราเป็นอย่างนี้ บ้านโบราณเป็นแบบนี้ คนไทยอยู่กินแบบนี้ คนไทยน่ารักอย่างนี้ เราให้การบริการที่ดีขนาดนี้ เรามีความเป็นไทย แต่เราไม่ได้ล้าหลัง เราไม่ได้ด้อยกว่าประเทศอื่นเลย เมืองไทยมีสิ่งดี ๆ อีกเยอะมาก ปาร์คนายเลิศไม่ได้เป็นคนแรกที่ใหญ่ที่สุด ดีที่สุด เก่งที่สุด สิ่งที่เล็กทำอยู่คือทำระยะยาว อยากทำให้ปาร์คนายเลิศอยู่คู่กับเวลาปัจจุบันและในอนาคตอีกนาน ๆ อยากให้เป็นไทม์เลส ไม่ติดกับเทรนด์ ไม่ตามเทรนด์ เราต้องรู้จุดยืนของเราว่าเราคือใคร และเล็กไม่อยากแข่งกับใคร เล็กคิดว่าประเทศไทยมีครบทุกอย่าง เราไม่ควรแข่งกันเอง ครอบครัวมหาเศรษฐีทั้งหลายไม่ควรแข่งกัน เราควรจะทำให้ประเทศนี้เป็นยูนิตี้ ให้ลูกค้าเข้ามาในเมืองไทยแล้วมาเลือกว่าโปรดักต์อันไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเขา เราไม่ควรตัดราคากันเอง เราควรให้ลูกค้าได้ประโยชน์”

อีกสิ่งหนึ่งที่เธอตั้งใจจะทำและถือเป็นการสืบสานสิ่งที่รุ่นคุณทวด (นายเลิศ) และคุณยาย (ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ) สร้างไว้ก็คือ การสร้างคน

“เล็กอยากสร้างคนต่อไปค่ะ เพราะว่านายเลิศก็สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สร้างหลาย ๆ อย่างให้สังคม เล็กก็อยากทำตรงนี้ต่อไป คือ การสร้างคน เพราะว่าไม่ว่าคุณจะรวยขนาดไหน มีเงินสร้างตึก สร้างโรงแรมหรูหรา สร้างนู่น สร้างนี่ แต่ถ้าบุคลากรไม่พร้อม ยังไงก็ไปไม่สุด ที่เราเปิดโรงแรม เปิดนู่นนี่นั่น เปิดมาแล้วไม่มีคนทำก็จบ เล็กทำงานคนเดียวไม่ได้ เล็กก็ต้องพึ่งพนักงานทุกคน ซึ่งพนักงานที่นี่ลอยัลตี้ (ความจงรักภักดี) สูงมาก คนที่ทำงานที่นี่รักปาร์คนายเลิศ รักเจ้าของ และรักสิ่งที่เขาทำ”

การดูแลคน ดูแลพนักงาน เป็นสิ่งหนึ่งที่ทายาทปาร์คนายเลิศบอกว่า คุณยายสั่งไว้ว่า “เล็กห้ามทิ้งคน” ซึ่งหลานสาวคนนี้ก็ทำตามคำสั่งอย่างเต็มที่ เธอเล่าถึงตอนปิดโรงแรมว่า

“ตอนที่โรงแรมปิด เป็นวันที่โคตรเศร้าเลยนะ ต้องอำลาคน 300 กว่าคน เพราะว่าเล็กเลือกมาแค่ 100 คน ที่รับได้ 100 คน เพราะว่าเรามีแค่ร้านอาหารและบ้านปาร์คนายเลิศ หลาย ๆ คนอายุ 50 กว่า เขาไปสมัครงานที่ใหนก็คงไม่มีใครรับ คุณยายบอกเล็กว่า เล็กห้ามทิ้งคน เราทำจ็อบแฟร์ให้เลยนะ เปิดบอลรูมให้โรงแรม ร้านอาหารต่าง ๆ เข้ามาเลือกคนไปก่อนปิด ส่วนคนที่อายุ 50 กว่า ยืนร้องไห้อยู่นอกบอลรูม เขาไม่รู้จะไปตรงใหน เขียนใบสมัครยังเขียนไม่เป็นเลย เพราะไม่เคยสมัครงานที่อื่น อยู่ที่นี่มาตั้งแต่โรงแรมเปิดวันแรก เล็กก็บอกเดี๋ยวเล็กรับเอง เล็กบอกเขาว่า ไม่ใช่รับเพราะอายุนะ แต่รับเพราะความสามารถ รับมาแล้วมาเกลาใหม่เลย ถามว่าชอบงานที่ทำมาหรือเปล่า ถ้าไม่ชอบ ชอบอะไร ก็ให้ลองทำอันนั้น ถ้าใครชอบอยู่แล้วก็ทำต่อไป คือเล็กอยากให้พนักงานอยากมาทำงาน ทำในสิ่งที่รัก รักในสิ่งที่ทำ การที่เรารักในสิ่งที่ทำ มันก็ทำออกมาได้ดีทั้งนั้นแหละ”

ตลอดการสนทนา เล็กพูดถึง “คุณยาย” และ “คุณทวด” บ่อยมาก ๆ เห็นได้ว่าเธอซึมซับหลายอย่างมา ซึ่งการส่งต่อเรื่องราวและความคิดของคนรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่ง ไม่ใช่จะเกิดขึ้นกับทุกคน เล็กบอกว่า เธอสนิทกับคุณยาย “เล็กอิน เพราะเล็กคิดว่าคุณทวดกับคุณยายเป็นคนเก่ง และเล็กชอบเรียนรู้จากคนเก่ง” เธอว่า

“เล็กเป็นคนที่เรียนไม่เก่งเลยนะ คือแบบเกเร แต่ก่อนเล็กเที่ยว ทุกคนก็รู้ แต่ว่าสนิทกับคุณยายมาก เวลากลับมาจากอังกฤษ บางคนเขาจะไม่ชอบการทานข้าวกับคุณยาย แต่เราชอบ ทำไมก็ไม่รู้ คุณยายไม่เคยกำชับ คุณยายไม่เคยอบรม แต่คุณยายชอบเล่าเรื่อง คุณยายอาจจะอ่านเราออกว่าถ้าสอน ถ้าดุ เราอาจจะหนีได้ คุณยายก็เลยเล่าเรื่องให้ฟังว่า เนี่ยสมัยก่อนยายเด็ก ๆ ยายอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนู้น นายเลิศสอนอะไรยายมา เป็นการเล่าเรื่องให้เราซึม ๆ มากกว่า ก็เลยอิน ก็เลยชอบฟังเรื่องของคุณยาย”

นอกจากนั้น เล็กเปิดเผยเรื่องส่วนตัวสมัยเป็นสาวสังคมรุ่นใหม่ว่า “ตอนเล็กกลับมาจากอังกฤษใหม่ ๆ เล็กคิดว่ากูเจ๋ง เด็กนอก เด็กอังกฤษ คิดว่าเจ๋งมากและขี้อวด คุณยายก็บอกว่า “เล็กคิดว่าเล็กฉลาดป่ะ” คุณยายบอกว่า “รู้รึเปล่า คนฉลาดต้องโง่ให้เป็น” เล็กบอกว่า แปลว่าอะไรไม่เข้าใจ แต่คำพูดของคุณยายมันฝังเข้ามาในจิตใต้สำนึก ตอนที่เรากำลังดิ้น ๆ อยู่ที่ซอย 4 (หัวเราะ)”

ถามถึงเรื่องทายาทเจเนอเรชั่นต่อไป เล็กบอกว่า น้องชายของเธอมีลูก ซึ่งตัวเธอเองก็ยังทำงานไหวจนกว่าหลานจะโต ส่วนเรื่องครอบครัวและทายาทของตัวเอง เธอบอกว่าไม่เคยวางแผนไว้เลย และเปิดเผยแค่ว่า “ตอนนี้มีแฟนค่ะ (หัวเราะ) ส่วนเรื่องแต่งงานไม่สำคัญ เพราะว่าเราผ่านตรงนั้นมาแล้ว เรารู้แล้วว่ามันไม่ได้สำคัญที่สุด ถ้าเราจะอยู่กับแฟนแบบไม่ต้องจดทะเบียนก็โอเค ถ้าผู้ใหญ่รับได้ เราไม่ได้แต่งงานเพื่อสังคม เล็กคิดว่าความรักเนี่ยสำคัญมาก เพราะความรักมันคือพลัง ทุก ๆ อย่างที่เล็กทำ เล็กต้องการใส่พลังบวกเข้ามาในตัว”

หลังจากคุยเรื่องปาร์คนายเลิศ เรื่องส่วนตัวต่าง ๆ นานา ออกไปจนถึงเรื่องตึกสูงที่เกิดขึ้นทั่วกรุงเทพฯ และเปรย ๆ ถามความเห็นว่า คิดว่าในอนาคตจะเป็นยังไง จะมีการควบคุมมั้ย บอสสาวแห่งปาร์คนายเลิศบอกว่า “โหย… อยากเป็นผู้ว่าฯมากเลยอ่ะ …ไม่รู้เหมือนกัน” 

นึกว่าเธอพูดเล่น ๆ แต่พอถามว่า สนใจการเมืองมั้ย คุณยายก็เคยเป็นถึงรัฐมนตรี เล็กตอบว่า“สนค่ะสน แต่เล็กปั้นหน้าไม่เป็น เล็กพูดตรงไปมั้ย (หัวเราะ)”  เห็นท่าทางสนใจจริงจัง เราจึงถามว่า ถ้าเกิดมีอำนาจอยากทำเรื่องอะไรที่สุด ? เธอตอบว่า “อยากทำกรุงเทพฯให้น่าอยู่กว่านี้ อยากทำฟุตปาทให้ดีกว่านี้ อยากทำให้คนเดินฟุตปาทได้แบบสบายใจ อยากเอาสายไฟลงดิน อยากทำกรุงเทพฯให้เขียวกว่านี้ ดูถนนวิทยุสิ เล็กบอกเขตปทุมวันไว้นะว่า ห้ามตัดต้นก้ามปูถนนวิทยุที่นายเลิศ ปลูกไว้ตรงสถานทูตอเมริกา นั่นนายเลิศปลูกไว้หมดเลยนะ เพราะแต่ก่อนตรงนั้นเป็นที่ของนายเลิศ นายเลิศมีพื้นที่แถวนี้ 60 ไร่ คือเยอะมาก”

ในอนาคตอยากให้คนจดจำปาร์คนายเลิศแบบไหน ? เล็กบอกว่า “ปาร์คนายเลิศคือครอบครัวไทยแท้ อยากให้เขาจำวิถีชีวิตของคนไทย คนไทยเกิดมายังไง กินอยู่มายังไง แบบฉบับของปาร์คนายเลิศที่เล็กพูดตลอด วิถีแบบปาร์คนายเลิศคืออะไร” ซึ่งถ้าอยากรู้ “ก็อยากให้มาที่นี่”