ปิยะเลิศ ทายาท “ใบหยก” ไม่คิดสร้างตึกสูงแข่งพ่อ แค่อยากพิสูจน์ตัวเอง

หลายสิบปีแล้วที่เราได้ยินชื่อ “ใบหยก” ในฐานะที่เป็นตึกสูงที่สุดในประเทศไทย และเป็น กลุ่มธุรกิจภายใต้การบริหารของ พันธ์เลิศ ใบหยก นั่นแปลว่าตอนนี้ “ใบหยก” กำลังเดินหน้าเข้าใกล้ยุคเปลี่ยนผ่าน ส่งไม้ต่อให้คนรุ่นใหม่ โดยมีทายาทอันดับ 1 ที่ถูกวางไว้แล้วก็คือ เบียร์-ปิยะเลิศ ใบหยก ลูกชายคนโตวัย 37 ปี ของพันธ์เลิศ ใบหยก ที่เข้ามาช่วยงานพ่อได้หลายปีแล้ว หลังจากเรียนจบปริญญาโทด้านมาร์เก็ตติ้ง จากประเทศอังกฤษ

แม้จะมีทายาทเข้ามาช่วยสืบทอดงานได้แล้ว แต่ปิยะเลิศบอกว่า คุณพ่อยังทำงานเป็นปกติทุกวัน พ่อเป็นเจ้าโปรเจ็กต์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ส่วนลูกชายรับลูกเข้าไปทำงานบริหารจัดการสิ่งที่พ่อสร้างขึ้น

โปรไฟล์

ปิยะเลิศเล่าว่า เขาเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 20 ตอนนี้อายุ 37 ก็เท่ากับทำมา 17 ปีแล้ว เป็นการเข้าไปศึกษา ทำงานตั้งแต่ตอนยังเรียนไม่จบ แต่เข้าไปทำงานมีตำแหน่งจริง ๆ ได้ราว 10 ปี

“พอปิดเทอมก็เข้ามาที่โรงแรม เราเห็นคุณพ่อทำงานมาตลอด เราก็ติดมา บางคนอาจไม่อยากทำงาน อาจอยากเที่ยว แต่เราไม่ใช่อย่างนั้น เราคลุกคลีจนคิดว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว”

หลังจากเรียนจบ เข้ามาทำงานจริงจัง พ่อก็มอบตำแหน่งรองประธานให้ งานแรกที่เขาทำและสร้างผลงานคือการรีโนเวตอพาร์ตเมนต์เก่าให้เป็นโรงแรม โดยใช้งบอย่างประหยัด เขาบอกว่า

“ใช้วิธีพี่เลี้ยงน้อง” คือทำไปทีละชั้น ทำชั้นแรกเสร็จก็เปิดให้บริการ แล้วเอากำไรจากชั้นนี้ไปทำชั้นอื่น ๆ ต่อไป ใช้เวลา 2 ปีจึงสำเร็จหมดทั้งโรงแรม ซึ่งตอนนี้โรงแรมนั้นติดตลาดไปแล้ว

“ตอนนั้นค่อนข้างเรียกความมั่นใจได้พอสมควรว่าเราก็ทำงานเป็น” เจ้าตัวบอก

ทายาทอันดับ 1 คำสอนพ่อ กับการทำงาน

เป็นลูกชายคนโต เกิดมาพร้อมตำแหน่งทายาทอันดับ 1 ถามว่า พ่อแม่เลี้ยงดูเตรียมความพร้อมสำหรับการรับไม้ต่ออย่างไร ทายาทใบหยกบอกว่า “พ่อไม่เคยพูดว่าต้องมารับไม้ต่อ แต่ให้เข้าไปทำงานและเรียนรู้ด้วยตัวเอง สิ่งที่คุณพ่อคุมเราคือเรื่องการไม่ใช้เงินมือเติบ ท่านไม่ได้มาคอยจัดแจงว่าเดี๋ยวจะต้องทำอันนี้ ๆ ผมซะเองที่ต้องกำหนดชีวิตตัวเองว่าจะทำ โดยที่มีคุณพ่อคอยเป็นที่ปรึกษา”

ปิยะเลิศบอกว่า การที่พ่อสอนให้ไม่ใช้เงินมือเติบ มันส่งผลมาถึงการทำงาน ณ ตอนนี้

“การจะลงทุนแต่ละอย่าง ผมก็คิดเยอะ บางบ้านให้ตังค์ลูกมาเปิดร้านเป็นก้อนเยอะ ๆ ก็อาจจะใช้เงินง่ายไปหน่อย ส่วนเราใช้เงินยาก ค่อนข้างคิดก่อนใช้ กว่าจะซื้อกว่าจะเช่าอะไรสักอย่างก็ค่อนข้างเขี้ยว ก็คิดว่าน่าจะได้ประโยชน์จากที่คุณพ่อคุม อาจจะเรียกว่าเขี้ยวลากดินหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่ผมว่าผมก็เขี้ยวพอสมควร เพราะผมไม่อยากให้ธุรกิจของผมเป็นธุรกิจแบบลูกคนรวย คนมองภาพอาจจะคิดว่าผมมีตังค์แล้วทำง่าย เปล่า มันไม่ได้ง่าย กว่าจะได้มาผมก็เหนื่อยนะ ผมก็ทำ ต่อราคา หรืออะไรต่าง ๆ นานา”

เขาเล่าว่า อีกเรื่องหนึ่งที่พ่อสอนเพิ่มตอนที่เข้ามาทำงานคือ การปกครองคน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก จะทำตัวอย่างไรไม่ให้น่าหมั่นไส้ ไม่ใช่ให้พนักงานกลัว แต่ทำให้พนักงานรัก “มันไม่ใช่เรื่องง่าย ก็ทำงานด้วยกัน ก็เรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ” เขาว่า

ปิยะเลิศบอกว่า หลักการทำงานของเขาคือ ไม่ใช้เงินมือเติบ และผ่อนหนักผ่อนเบา “แต่ก่อนผมสู้ตาย ผมสามารถทำงานวันละ 22 ชั่วโมงได้ นอน 2 ชั่วโมงพอ แต่ตอนนี้ต้องแบ่งเวลา เพราะว่าอายุเริ่มเยอะขึ้น ก็ต้องออกกำลังกาย ผ่อนหนักเป็นเบาบ้าง เวลาเราสั่งลูกน้องเหมือนกัน ต้องมีผ่อนหนักผ่อนเบาบ้าง ก็คิดว่าการผ่อนหนักผ่อนเบาเป็นหลักที่ผมต้องยึด และอีกอย่างที่สำคัญที่ผมยึดมาตลอดคือไม่ใช้เงินมือเติบเกิน”

มีผลงานของตัวเองมาพอสมควร ถือว่าเป็นทายาทธุรกิจที่ดูมีอนาคตดี อย่างไรก็ตามเจ้าตัวบอกว่า ยังมีเรื่องที่ไม่เก่งที่ยังต้องขอคำปรึกษาจากพ่อคือ เรื่องที่ดิน

“ผมมาตกอยู่ในช่วงที่ไม่เก่งเรื่องที่ดิน เพราะว่าที่ดินมันแพงแล้ว สมัยก่อนยุคคุณพ่อที่ดินมันไม่ค่อยแพง สามารถซื้อแล้วทำกำไรได้ แต่ผมอยู่ในยุคที่ที่ดินแพงมาก ผมไม่สามารถทำอะไรกับที่ดินได้

ถ้าผมจะซื้อที่ดิน ผมต้องมีเงินสดหมุนเป็นร้อยล้านพันล้าน ซึ่งผมไม่ได้มีอำนาจ ผมก็มีปรึกษาคุณพ่อ และคุณพ่อก็พูดบ้างว่า ทำไมไม่ดูเรื่องที่ดิน คุณพ่อคิดว่าซื้อที่ดินเก็บยังไงราคาก็ขึ้น ขณะที่ผมมีตังค์ผมเลือกลงทุน แต่ผู้ใหญ่เขาคิดว่าอยู่นิ่ง ๆ ซื้อที่ให้เช่ามั้ย เป็นความคิดคนละยุคกัน ซื้อที่ดินมันอาจจะได้ช้าหน่อย แต่มันก็ได้ อย่างเปิดร้านเช่าที่ในห้าง ถ้าเกิดอีกสามปี เขาไม่ให้เช่า มันก็เป็นไปได้”

สร้างธุรกิจของตัวเองเข้าตลาดหุ้น

นอกจากงานในใบหยกกรุ๊ป ปิยะเลิศยังมีธุรกิจของตัวเองอีกตัว ชื่อ บริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด ทำธุรกิจอาหาร ซึ่งโตวันโตคืน ตอนนี้ถืออยู่ 7 แบรนด์ เป็นอาหารจากญี่ปุ่นทั้งหมด ซึ่งบางแบรนด์เคยสร้างปรากฏการณ์ “ห้างแตก” มาแล้ว เพราะลูกค้าเยอะ ต่อคิวยาวมากจนล้นออกนอกประตูห้าง ที่สร้างกระแสสูงสุดคือร้าน Pablo ที่ทำยอดขายได้ถึงวันละ 1 ล้านบาท และล่าสุดเปิดร้าน Gram ลูกค้าก็ยังต่อคิวยาวทุกวัน

เขาบอกว่า ธุรกิจอาหารเป็นสิ่งที่ concentrate มากในตอนนี้ เนื่องจากมีแผนจะนำบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในประมาณปี 2021

นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่สนใจอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำคือ สปา ร้านนวด ร้านล้างรถ โรงเรียนอนุบาลที่สอนให้เด็กคิดเป็นและไม่กดดันเด็ก

อนาคต “ใบหยก” ในมือปิยะเลิศ

ถามถึงเป้าหมายของใบหยกในอนาคตในมือคนชื่อปิยะเลิศ จะเหมือนและต่างจากเป้าหมายของใบหยกในรุ่นพ่ออย่างไร ปิยะเลิศตอบว่า “ผมคิดว่าเหมือนกัน คือคุณพ่ออยากจะขยายให้ดีที่สุด ผมก็คงอยากขยายให้ดีที่สุดเหมือนกัน แต่ผมมีเป้าหมายที่ต่างคือ ผมต้องรักษาของเก่าให้ได้ ส่วนใหญ่ที่ทำเป็นสิ่งที่ทำต่อจากคุณพ่อ เราก็ดูคุณพ่อทำอะไร เราก็ทำตาม แล้วก็เปลี่ยนให้ทันยุคดิจิทัลก็จบ ผมว่าถ้าทันยุคสมัยก็อยู่ได้แล้ว”

ตอนนี้ใบหยกเสียสถิติตึกสูงที่สุดในไทยไปแล้ว หลายคนอยากรู้ว่า ใบหยกจะทวงคืนสถิติหรือไม่ พอเราถามขึ้นเขาตอบทันทีว่า “ไม่ ๆ” แล้วอธิบายว่า

“ไม่ ๆ เรื่องตึกสูงนี่มีคนเคยถามผมนะ ผมว่าวันหนึ่งมันก็ต้องมีคนสูงกว่า เราต้องพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ ใบหยกก็เป็นตึกสูงที่สุดมา 20 ปี ในยุคที่คนอื่นเขาอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ได้ มันคือความพยายามของคุณพ่อ และคนก็ยังจดจำแหละ ผมว่าผมก็พอใจ ไม่คิดจะสร้างตึกสูงกว่า บางคนบอกว่า ทำไมไม่ต่อขึ้นไปอีก จะไปทำเพื่ออะไร เราแฮปปี้อยู่แล้ว”

ไม่คิดสร้างตึกสูงกว่าพ่อ แล้วคิดว่ามีเป้าหมายอะไรที่จะทำลายเพดานที่พ่อสร้างไว้หรือไม่ อย่างไร

“ผมไม่บังอาจทำลายของคุณพ่อ แต่ผมจะพิสูจน์ให้คุณพ่อเห็น เช่น ผมพูดกับคุณพ่อเสมอว่า ผมหาตังค์เป็น ผมหาตังค์ได้ ผมปั้นเงินสิบล้านให้เป็นร้อยล้านได้ แต่อาจจะต้องรอจังหวะนิดหนึ่ง ผมอยากจะจับเงินที่มันไม่เกี่ยวกับใบหยกกรุ๊ปที่คุณพ่อสร้าง ผมอยากทำบริษัทที่ผมสร้างมาเล็ก ๆ ให้ยอดขายมันเป็นห้าร้อยล้าน อาจจะเป็นพันล้าน คือไม่อยากทำลายสถิติ แค่อยากพิสูจน์ให้เห็นว่าผมก็ทำได้ ซึ่งผมก็ได้ความรู้มาจากคุณพ่อแหละผมถึงทำได้”

เขายกตัวอย่างความสำเร็จที่ทำให้พ่อเห็นแล้วก็คือการสร้างบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง ซึ่งเริ่มเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน เริ่มด้วยทุนประมาณ 5 ล้านบาท ซึ่งขอพ่อมา 3 ล้านบาท ซื้อแฟรนไชส์อาหารญี่ปุ่นมาทำสาขาแรก ผลตอบรับดี จึงเปิดสาขาที่สอง แล้วบริษัทญี่ปุ่นซื้อคืนเป็นเงินเกือบร้อยล้านบาท เขาจึงได้เงินก้อนมาต่อยอด และทำให้บริษัทโตขึ้นได้ จนมีเป้าหมายจะเข้าตลาดหุ้นในอีกไม่นาน

“ผมยกทุกอย่างเกินครึ่งมาจากสิ่งที่คุณพ่อสอน เรื่องการใช้เงิน ทริกในการเลือกโลเกชั่น” ปิยะเลิศบอกถึงความสำเร็จของเขาที่เรียนรู้มาจากพ่อ พันธ์เลิศ ใบหยก