คนปากพนังพลิกนากุ้งร้าง มาเลี้ยงปลานิลในกระชัง กำหนดราคาเองได้ด้วย มีรายได้เลี้ยงครอบครัวสบายๆ

ในอดีต ชาวปากพนังส่วนใหญ่นิยมทำนากุ้ง เพราะให้ผลตอบแทนสูง มองไปทางไหนก็จะสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากบ่อกุ้ง แต่ไม่นานกิจการนากุ้งก็มีอันล่มสลายจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลง ทำให้นากุ้งนับแสนไร่กลายเป็นนากุ้งร้าง

กศน. อำเภอปากพนัง เข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านพลิกฟื้นนากุ้งร้างให้หันมาทำเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันนี้ นากุ้งร้างเหล่านี้ ถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง ในรูปแบบ “บ่อเลี้ยงปลาน้ำจืด” ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานประมงอำเภอปากพนัง กศน. อำเภอปากพนัง ศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาเรื่องพันธุ์ปลา และความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาเป็นอย่างดี”

ปลานิล เป็นปลาที่มีเนื้อมากและมีรสชาติดี สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลายเมนู เช่น ทำเป็นปลาเค็มตากแห้งแบบปลาสลิด ปลากรอบ ปลาร้า ปลาเจ่า ปลาจ่อมหรือปลาส้ม และทำน้ำยาขนมจีน ซึ่งเป็นอาหารที่นิยมของคนปักษ์ใต้ได้ดีเท่ากับเนื้อปลาช่อน นอกจากนี้ ปลานิล ยังเลี้ยงง่าย หาพันธุ์ได้ง่าย  เจริญเติบโตเร็ว ปลานิลเป็นปลากินพืช แค่นำปุ๋ยมาใส่ในบ่อจะทำให้เกิดแพลงตอนหรือไรน้ำ ก็จะประหยัดต้นทุน หากราคาปลาตกต่ำ ชาวบ้านสามารถปลูกผักสวนครัวบนคันนากุ้ง สามารถช่วยสร้างอาชีพใหม่แก่เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน

คุณไมตรี สกุณา ประธานกลุ่มเลี้ยงปลานิล เล่าให้ฟังว่า ตนเองประสบปัญหาขาดทุนจากการทำนากุ้ง และต้องการนำนากุ้งร้างมาใช้ประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม โดยการเลี้ยงปลานิล เริ่มจากปรับสภาพบ่อให้เหมาะสมสำหรับเลี้ยงปลาน้ำจืด เนื่องจากมีบ่อเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ทำความสะอาดบ่อ โดยการขุดลอกบ่อ นำดินโคลนที่อยู่ในบ่อออก นำปูนขาวโรย ตากแดดทิ้งไว้ ประมาณ 1 เดือน จึงค่อยปล่อยน้ำเข้าและปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่งก่อน นำลูกปลาที่เตรียมไว้ลงมาอนุบาลในกระชังภายในบ่อเพาะเลี้ยง ประมาณ 10-15 วัน จนลูกปลาแข็งแรงพอที่จะปล่อยลงบ่อเพาะเลี้ยงเพื่อให้หาอาหารจากธรรมชาติ

จากการเลี้ยงปลานิลดังกล่าว ส่งผลให้สมาชิกส่วนใหญ่เริ่มเห็นทางรอดและทำอย่างจริงจัง มีการรวมกลุ่มการเลี้ยงปลานิลบ้านบางพระ จำนวน 48 คน โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกลุ่มอย่างเป็นระบบ โดยมีนายไมตรี สกุณา นายเสริมสุข กระศัลย์ นางพัชรี เสือคำ และมีผู้ใหญ่บ้าน นายชิราวุธ ฝอยทอง เป็นแกนหลักของกลุ่ม

เทคนิคการเลี้ยงปลานิลให้ประสบผลสำเร็จ

เทคนิคการเลี้ยงปลานิลให้ประสบผลสำเร็จ เกิดจากการปรับสภาพบ่อให้เหมาะสมที่จะใช้เพาะเลี้ยงปลาน้ำจืด เริ่มจากทำความสะอาดบ่อโดยการขุดลอกบ่อ นำดินโคลนที่อยู่ในบ่อออก นำปูขาวโรย ตากแดดทิ้งไว้ ประมาณ 1 เดือน จากนั้นก็เริ่มปล่อยน้ำเข้าและปล่อยทิ้งไว้อีกสักระยะหนึ่งก่อนจะนำลูกปลาที่เตรียมไว้ลงมาอนุบาลในกระชังภายในบ่อเพาะเลี้ยง ประมาณ 10-15 วัน จนลูกปลาแข็งแรงพอที่จะปล่อยลงบ่อเพาะเลี้ยงเพื่อให้หาอาหารจากธรรมชาติ ขนาดบ่อเพาะเลี้ยง จะมีความกว้าง ยาว ลึก ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับขนาดของแต่ละพื้นที่ แต่โดยรวมแล้ว บ่อที่เกษตรกรเพาะเลี้ยงกันทั่วไปจะกินเนื้อที่ประมาณ 3-4 ไร่

ส่วนอัตราการปล่อยลูกปลานิลลงไปเลี้ยงในแต่ละบ่อ โดยทั่วไปเกษตรกรจะปล่อยปลาไม่เกิน 5,000 ตัว/บ่อ อัตราการรอด 90 เปอร์เซ็นต์ ระวังไม่ปล่อยปลามากจนเกินไป เพราะหากจำนวนปลาหนาแน่น จะทำให้ปลาโตช้า เพราะแย่งอาหารกัน และทำให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ปลานิลกินอาหารได้ทุกชนิด และให้ผลผลิตสูง โดยเฉพาะพวกอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อ เช่น ไรน้ำ ตะไคร่น้ำ ตัวอ่อนของแมลงและสัตว์เล็กๆ ที่อยู่ในบ่อ ตลอดจนสาหร่ายและแหน  หากต้องการให้ปลาโตเร็ว ควรให้อาหารเสริม ประเภท รำ ปลายข้าว กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง กากมะพร้าว กล้วยน้ำว้า แหนเป็ด และปลาป่น เป็นต้น การให้อาหารแต่ละครั้งไม่ควรให้ปริมาณมากจนเกินไป ควรกะให้มีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการของปลาเท่านั้น ส่วนมากควรเป็นน้ำหนักราวร้อยละ 5  ของน้ำหนักปลาที่เลี้ยง ถ้าให้อาหารมากเกินไปปลาจะกินไม่หมด เสียค่าอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์  และยังทำให้น้ำเน่าเสียเป็นอันตรายแก่ปลาได้

คุณไมตรี บอกว่า หากใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูป ควรให้ตามช่วงอายุ สำหรับปลาช่วงอนุบาลต้องใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูป เบอร์ 1 ต่อเนื่องกัน 20 วันก่อน จะเปลี่ยนเป็นอาหารเม็ดสำเร็จรูป เบอร์ 2 และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเป็นอาหารเม็ดสำเร็จรูป เบอร์ 3 โดยจะให้อาหาร วันละ 2 เวลา คือ ช่วงเวลาเช้าและเย็นของทุกวัน” (ช่วงเดือนที่ 3 ก่อนจับขาย ประมาณ 15-20 วัน จะให้วันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น เนื่องจากต้องขุนให้มีน้ำหนักเต็มที่) บ่อที่เลี้ยงปลานิลควรเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพื่อสะดวกในการจับ เนื้อที่ตั้งแต่ 200 ตารางเมตร ขึ้นไป อาหารที่ให้ใช้เศษอาหารจากโรงครัว ปุ๋ยคอก อาหารสมทบอื่นๆ ที่หาได้ง่าย เช่น แหนเป็ด สาหร่าย เศษพืชผักต่างๆ ปริมาณปลาที่ผลิตได้ก็เพียงพอสำหรับบริโภคในครอบครัว

ปัจจุบัน การเลี้ยงปลานิลในบ่อดินแบ่งตามลักษณะของการเลี้ยงมีการเลี้ยงปลานิลแบบเดี่ยว โดยปล่อยลูกปลาขนาดเท่ากันลงเลี้ยงพร้อมกัน ใช้เวลาเลี้ยง 6-12 เดือน แล้ววิดจับหมดทั้งบ่อ และการเลี้ยงปลานิลหลายรุ่นในบ่อเดียวกัน โดยใช้อวนจับปลาใหญ่คัดเฉพาะขนาดปลาที่ตลาดต้องการจำหน่าย และปล่อยให้ปลาขนาดเล็กเจริญเติบโตต่อไป

ขั้นตอนการเลี้ยงปลานิลในบ่อควรกำจัดวัชพืชและพรรณไม้ต่างๆ เช่น กก หญ้า ผักตบชวา ให้หมดโดยนำมากองสุมไว้ เมื่อแห้งแล้วนำมาใช้เป็นปุ๋ยหมักในขณะที่ปล่อยปลาลงเลี้ยงถ้าในบ่อเก่ามีเลนมาก จำเป็นต้องสาดเลนขึ้นโดยนำไปเสริมคันดินที่ชำรุด หรือใช้เป็นปุ๋ยแก่พืชผัก ผลไม้ บริเวณใกล้เคียง พร้อมทั้งตกแต่งเชิงลาดและคันดินให้แน่น ด้วยศัตรูของปลานิล ได้แก่ ปลาจำพวกกินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาหมอ ปลาดุก นอกจากนี้ ก็มีสัตว์พวก กบ งู เขียด เป็นต้น ดังนั้นก่อนที่จะปล่อยปลานิลลงเลี้ยงจึงจำเป็นต้องกำจัดศัตรูดังกล่าวเสียก่อน โดยวิธีระบายน้ำออกให้เหลือน้อยที่สุด

ปลานิล เป็นปลาที่กินอาหารได้ทุกชนิด จึงเป็นปลาที่ให้ผลผลิตสูง โดยเฉพาะพวกอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อ เช่น ไรน้ำ ตะไคร่น้ำ ตัวอ่อนของแมลงและสัตว์เล็กๆ ที่อยู่ในบ่อ ตลอดจนสาหร่ายและแหน ถ้าต้องการให้ปลาโตเร็วควรให้อาหารสมทบ เช่น รำ ปลายข้าว กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง กากมะพร้าว  แหนเป็ด และปลาป่น เป็นต้น การให้อาหารแต่ละครั้งไม่ควรให้ปริมาณมากจนเกินไป ควรกะให้มีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการของปลาเท่านั้น ส่วนมากควรเป็นน้ำหนักราวร้อยละ 5 ของน้ำหนักปลาที่เลี้ยง   ถ้าให้อาหารมากเกินไปปลาจะกินไม่หมด เสียค่าอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์ และยังทำให้น้ำเน่าเสียเป็นอันตรายแก่ปลาได้

คุณไมตรี บอกว่า ปัญหาอุปสรรคส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาโรค และสภาพอากาศ ซึ่งสำนักงานประมงอำเภอปากพนัง กศน. อำเภอปากพนัง ก็จะมาช่วยดูแลแก้ไขปัญหา แต่ในเบื้องต้นนั้นตัวเกษตรกรจะแก้ไขปัญหาตัวเองก่อนที่จะขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นๆ ชาวบ้านมีการแบ่งปันองค์ความรู้ ที่ได้รับจากการเลี้ยงปลานิล เมื่อเจอปัญหาอุปสรรคจะร่วมกันแก้ปัญหาไปด้วยกัน มีการทำบัญชีกลุ่มและบัญชีครัวเรือนเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมต้นทุนและรู้จักการออมเงิน

ด้านตลาด

เรื่องตลาดไม่น่าห่วง เพราะมีแม่ค้าจากจังหวัดกระบี่ สุราษฎร์ธานี และที่ต่างๆ แต่ละเดือนจะมีพ่อค้าแม่ค้าเข้ามารับซื้อถึงหน้าบ่อ โดยน้ำหนักปลาที่ส่งขาย อยู่ที่ตัวละ 800 กรัม ส่งขายในราคากิโลกรัมละ 60 บาท ซึ่งราคาซื้อ-ขาย ทางกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงจะตกลงกับพ่อค้าแม่ค้าเอง โดยสมาชิกไม่ต้องจัดการขายตรง แต่ผ่านทางกลุ่มเท่านั้น ทำให้เกิดการต่อรองราคาได้ กลุ่มสามารถกำหนดราคาด้วยตนเอง แต่ละรอบที่เลี้ยงสามารถจับปลาขึ้นมาจำหน่ายได้มากถึง 3 ตัน/บ่อ ซึ่งหากคิดรวมเป็นรายปีแล้ว จะได้ประมาณ 20.2 ตัน/ราย นับว่าเป็นปริมาณที่มากระดับหนึ่งสำหรับการประกอบอาชีพใหม่ในชุมชน

ณ วันนี้ อาชีพเพาะเลี้ยงปลานิล บ้านบางพระ ได้พัฒนามาเลี้ยงในกระชัง เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องของอาหารและการจับ สำหรับท่านใดที่สนใจปลานิล กลุ่มเลี้ยงปลาน้ำจืดบ้านบางพระ ตำบลปากแพรก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ติดต่อสอบถามราคาและข้อมูลได้ที่ คุณไมตรี สกุณา โทรศัพท์ (087) 886-5681