เปิดใจผู้จัดการคลังสินค้าบริษัทดัง ทำไมต้องมาขับ “อูเบอร์” ทั้งที่เงินเดือนดี เก่งภาษาอังกฤษ

ในโลกยุคใหม่ที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตของเรามากขึ้น มีผลให้มุมมอง ทัศนคติในการใช้ชีวิต ในการทำงาน ไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ของคนเราก็ปรับเปลี่ยนไปตาม ไม่น่าประหลาดใจที่คนยุคโซเชียล จะให้ความสำคัญกับการทำงานแบบอิสระ การเป็นเจ้าของกิจการของตนเอง มากกว่าที่จะมุ่งเน้นการทำงานประจำ การเป็นมนุษย์เงินเดือน ถึงแม้ว่าจะสร้างรายได้ที่ไม่แน่นอน และไม่ค่อยจะมีสวัสดิการ หรือหลักประกันที่มั่นคงให้กับชีวิตก็ตาม

เข้าทำนอง “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย แต่ขอให้เป็นการทำงานที่ชอบ งานที่ใช่ ก็พอแล้ว”

เป็นมุมมอง ทัศนคติแบบเดียวกับที่ คุณสมชาย หว่านพืช หรือ พี่ชาย บอกกล่าวเอาไว้ พี่ชายผ่านการทำงานประจำมากว่า 20 ปี ตั้งแต่เริ่มจบการศึกษาปริญญาตรีศึกษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ก็เข้าทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศมาโดยตลอด 20 ปีเต็ม จนกระทั่งงานสุดท้าย คือ ตำแหน่งผู้จัดการคลังสินค้าของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดระยอง ก่อนที่จะตัดสินใจเลิกเป็นมนุษย์เงินเดือน ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากให้เวลากับครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ขณะที่พี่ชายต้องไปทำงานที่ระยอง

หลังจากเลิกทำงานประจำ พี่ชายเปลี่ยนมาทำธุรกิจกับพี่สาว ซึ่งมีบริษัทรับจัดสวน ดูแลและบำรุงรักษาภูมิทัศน์ ด้วยความที่ชอบงานจัดสวน จึงรับหน้าที่ดูแลงานในส่วนที่เป็นโปรเจ็กต์หมู่บ้านจัดสรร หรือองค์กรที่ต้องการบริการดูแลหรือออกแบบตกแต่งสวนใหม่ ทำได้ 2 ปี พี่ชายเริ่มอยากหางานเสริม

“ผมรู้สึกว่า งานที่จะทำให้เรามีความสุข สบายใจได้ จะต้องเป็นงานที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเราได้อย่างสม่ำเสมอ การเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างที่ผมทำธุรกิจจัดสวน ยังมีเงินหมุนเวียนเข้ามาไม่ดีเท่ากับตอนที่เราทำงานประจำ เพราะตอนนั้นงานจัดสวนมักจะเจอปัญหารายได้ไม่แน่นอน ลูกค้าบางรายจ่ายเงินไม่ตรงเวลา ผมก็เลยอยากหางานเสริมที่เราชอบ ขณะเดียวกัน ก็สามารถบริหารจัดการเวลาได้ ก็เลยเสิร์ชดูทางอินเตอร์เน็ต ไปเจอโฆษณาเกี่ยวกับช่องทางการสร้างรายได้ของอูเบอร์ (Uber) ที่ระบุว่า แค่มีคุณสมบัติพื้นฐานด้านภาษาอังกฤษ ชอบขับรถ และมีใจรักบริการ ซึ่งตรงกับผมพอดี ก็เลยลองสมัครเป็นพาร์ตเนอร์อูเบอร์”

ขั้นตอนการเข้าเป็นพาร์ตเนอร์อูเบอร์นั้น พี่ชาย เล่าว่า หลังจากไปสมัครที่อโศกทาวเวอร์ จะต้องเข้าอบรมการใช้แอพพลิเคชั่น พร้อมกับสัมภาษณ์ว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมกับงานขับรถอูเบอร์หรือไม่

“ตอนนั้นปี 2558 ที่ผมไปสมัคร ถือว่า เป็นรุ่นแรก แถมยังไม่ค่อยถนัดเรื่องเทคโนโลยี ไม่ชอบใช้สมาร์ตโฟน เพราะกลัวเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ด้วยความอยากลอง เลยต้องทลายความกลัวให้ได้ จำได้ว่า ขับรถเที่ยวแรกเปิดระบบนำทางจีพีเอสไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ จนผู้โดยสารโทรมาถามว่า มารับถูกมั้ย เพราะเขารออยู่ โชคดีที่ผู้โดยสารใจเย็น เป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 18 เขาช่วยสอนวิธีใช้กูเกิ้ลแมป ผมเลยรู้สึกดี รู้เลยว่า แค่เราเปิดใจ ทุกอย่างก็สามารถเรียนรู้ และทำได้ง่ายๆ เทคโนโลยีไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แถมยังช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น”

ช่วง 2 เดือนแรกของการทำงานเป็นพาร์ตเนอร์ของอูเบอร์ พี่ชาย เล่าว่า เป็นช่วงของการเรียนรู้ระบบการใช้งานแอพ และเรียนรู้การคำนวณระยะเวลาทำงานกับรายได้ในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งทำให้มีความมั่นใจกับงานนี้ และมีการวางแผนในการให้เวลาขับรถอูเบอร์มากขึ้นเรื่อยๆ

“อูเบอร์ถือเป็นธุรกิจเกิดใหม่ในเมืองไทย เราในฐานะที่เข้าร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ก็ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของบริษัท ตลอดระยะเวลา 2 เดือนแรกผมจะดูเรื่องรายได้ที่ทางอูเบอร์การันตีว่าจะได้รับหากทำตามคำแนะนำ โดยจะมีการกำหนดวันแจ้งโอนเงินรายได้ให้กับพาร์ตเนอร์ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดเวลาที่อูเบอร์แจ้งไว้ อูเบอร์ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการโอนเงินรายได้เลย ตรงนี้ทำให้เรามั่นใจว่า การตัดสินใจร่วมงานกับอูเบอร์เป็นสิ่งที่ถูกต้อง หลังจากนั้นผมก็ทุ่มเทให้กับการขับรถอูเบอร์ จนถึงปัจจุบัน ผ่านมา 3 ปีแล้ว งานขับรถอูเบอร์กลายมาเป็นงานหลัก ผมให้เวลาประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของการทำงาน ถือเป็นรายได้หลักที่ใช้เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว ขณะที่งานจัดสวนก็ยังทำอยู่บ้าง แต่กลายเป็นงานเสริมแทน”

ปัจจุบันนี้พี่ชายอายุ 52 ปีแล้ว มีอาชีพหลักขับรถอูเบอร์ โดยทำงานทุกวัน วันละ 11-12 ชั่วโมง สามารถให้บริการรับส่งผู้โดยสารได้ประมาณวันละ 10 กว่าเที่ยว รวมระยะเวลา 3 ปีที่ทำมา คำนวณคร่าวๆ แล้วมีการขับรถรับผู้โดยสารไปแล้วมากกว่า 8,300 เที่ยว คิดเป็นระยะทางเกือบแสนกิโลเมตร

เป็นธรรมดาที่การขับรถติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ย่อมเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า โดยเฉพาะช่วงรถติด แต่พี่ชาย ยืนยันว่า ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ไม่เหนื่อยเท่างานอื่น ไม่หนักเท่างานจัดสวนที่ต้องยกแบกหาม อีกทั้งขับรถอูเบอร์เป็นงานอิสระ ที่ขึ้นอยู่กับตัวเรา

“สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานให้สามารถไปถึงเป้าหมาย โดยเฉพาะเมื่อเราทำงานให้บริการ ถ้าร่างกายไม่พร้อม ผลลัพธ์ก็จะออกมาไม่ดี เป็นผลเสียต่องาน การทำงานหลังพวงมาลัยไม่เฉพาะดูแลชีวิตตัวเอง แต่ยังต้องดูแลชีวิตความปลอดภัยของผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางด้วย จึงจำเป็นต้องดูแล เตรียมร่างกายให้พร้อม นั่นคือ ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และทานวิตามินบำรุงด้วย ถ้าเราพักผ่อนไม่พอ อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย เกิดภาวะเครียดเวลาเจอรถติด ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับรถ ดังนั้น ผมจะไม่นอนดึก พยายามออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 3 วัน เพื่อให้ร่างกายพร้อมในการทำงาน”

พี่ชาย ทิ้งท้ายบทสนทนาไว้ว่า การทำงานไม่ว่าจะเป็นงานประจำ หรืองานอิสระ ที่เคยผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจไว้ก่อนลงมือทำทุกครั้ง ก็คือ เป้าหมาย

“ผมไม่ใช่คนวางแผนระยะยาว เพียงแต่ผมจะมีเป้าหมายเอาไว้ในใจในแต่ละวัน เพราะเชื่อว่า ถ้าเราทำทุกอย่างอย่างมีเป้าหมายในแต่ละวันได้แล้ว เป้าหมายในแต่ละเดือนหรือปี มันก็จะสำเร็จตามไปโดยอัตโนมัติ”

ลองวางเป้าหมายในใจสักวัน แล้วจะบรรลุตามที่ตั้งใจ!!