กล้วยหอมทองเปลี่ยนชีวิต 1 ไร่ ลงทุน 20,000 บาท แต่ขายผลผลิตได้ประมาณ 80,000 บาท/ไร่

ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า ปัจจุบันกล้วยหอมทองของประเทศไทยได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เหตุเพราะกล้วยหอมทองของประเทศไทยรสชาติอร่อย หอมหวาน ทั้งยังมีสีเหลืองทอง จนทำให้ใครๆ ต่างอยากที่จะบริโภค

เพียงแต่ช่วงผ่านมา อาจไม่ค่อยมีใครทราบเท่าไรนักว่าแหล่งผลิตกล้วยหอมทองอยู่บริเวณไหนของประเทศไทย เพราะสภาพพื้นที่โดยรวมสามารถเพาะปลูกกล้วยต่างๆ ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ และกล้วยหอม

แต่สำหรับกล้วยหอมทองที่ส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น แหล่งเพาะปลูกสำคัญกลับอยู่ที่ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของเกษตรกรในอำเภอบ้านลาด ที่ในอดีตต่างประกอบอาชีพทำนา และทำการเกษตรอื่นๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

เนื่องจากถูกพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบ

เกษตรกรเหล่านี้จึงรวมตัวกันจัดตั้งสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ขึ้นครั้งแรกในปี 2483 เพียงแต่ตอนนั้น การจัดตั้งสหกรณ์ยังไม่มีการจดทะเบียน และยังมีอุปสรรคในการดำเนินงานหาทุนหลายอย่าง จึงทำให้มีความคืบหน้าน้อยมาก กระทั่งในปี 2518 มีการจดทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ขึ้นอย่างเป็นทางการ

ในปีเดียวกัน สหกรณ์การเกษตรบ้านลาด ได้รับโล่รางวัลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประเภทสหกรณ์การเกษตรดีเด่น โดยยึดหลักความต้องการของสมาชิกเป็นสำคัญ ทั้งยังมุ่งเน้นให้สมาชิกเกิดความพึงพอใจในการดำเนินการ

เพียงแต่ระยะเบื้องต้นแนวทางการทำการเกษตรอาจมีความหลากหลาย เนื่องจากพวกเขาเคยชินต่อการทำนา ทำตาลโตนด เลี้ยงวัว ปลูกกล้วยน้ำว้า มะนาว เพาะเห็ดฟาง และอื่นๆ

โดยมีเกษตรกรส่วนน้อยที่ปลูกกล้วยหอมทอง

จนปี 2539 “บรรเจิด สมหวัง” อดีตผู้ตรวจราชการสหกรณ์ เขต 8 ขณะนั้น ชักชวน “ยามา โมโต้” ประธานกรรมการ บริษัท แพนแปซิฟิคฟู้ด คอร์ปอเรชั่น จำกัด จากสำนักงานใหญ่ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มาเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด พร้อมกับมีการเจรจานำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศไทย โดยเฉพาะกล้วยหอมทอง เพราะทางประเทศของเขามีความต้องการอย่างมาก

ทั้งยังเห็นว่า จังหวัดเพชรบุรีเป็นแหล่งผลิตกล้วยหอมทองที่ดีมาก ทั้งรสชาติและความหอม จึงอยากให้สหกรณ์การเกษตรบ้านลาด ดำเนินการด้านการผลิตกล้วยหอมทองให้แก่ญี่ปุ่น ปรากฏว่าทางสหกรณ์ตอบรับ และพร้อมดำเนินการ ทั้งยังมีการส่งเสริมการปลูกกล้วยหอมทองเพิ่มขึ้นอีก เพื่อเป็นอาชีพเสริมให้กับสมาชิกของสหกรณ์

ที่สุดจึงมีการรวบรวมกล้วยหอมทองส่งยังญี่ปุ่นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2539 จำนวน 6 ตัน ต่อสัปดาห์

ต่อมาราวเดือนกรกฎาคม 2542 “ยามา โมโต้” นำคณะกรรมการ 2 นาย จากชุมนุมสหกรณ์ผู้บริโภคชุโตเคน ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นชุมนุมสหกรณ์ผู้บริโภค Palsystem มาแวะเยี่ยมสหกรณ์อีกครั้ง โดยทางชุมนุมสหกรณ์ผู้บริโภคชุโตเคนตกลงรับซื้อกล้วยหอมทองจากสหกรณ์โดยตรง พวกเขาจึงดำเนินการส่งกล้วยหอมทองให้กับชุมนุมสหกรณ์ผู้บริโภคชุโตเคนทุกๆ สัปดาห์ เฉลี่ยสัปดาห์ละ 8 ตัน

จากนั้นอีก 1 ปี คือในวันที่ 9 กรกฎาคม 2543 สหกรณ์การเกษตรบ้านลาดกับชุมนุมสหกรณ์ผู้บริโภคชุโตเคน (Palsystem) จัดทำพิธีลงนามแถลงการณ์ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยมีสาระสำคัญในการยึดหลักการเคารพสิทธิของแต่ละฝ่าย และการให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันเพื่อมิตรสัมพันธ์ตลอดไป

จนปัจจุบันสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี สามารถส่งออกกล้วยหอมทองให้กับชุมนุมสหกรณ์ผู้บริโภคชุโตเคน (Palsystem) มากกว่าสัปดาห์ละ 8 ตันแล้ว

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ “ศิริชัย จันทร์นาค” ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี บอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยกว่าจะมาถึงวันนี้ เพราะการส่งออกกล้วยหอมทองไปญี่ปุ่นต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยทางด้านสินค้าอย่างเข้มข้น ฉะนั้น เราจึงต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำเกษตรอินทรีย์ โดยไม่มีการใช้สารเคมีตั้งแต่การเพาะปลูก

“พูดง่ายๆ เราดำเนินการทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวงทุกอย่าง และเราก็น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์มาปรับใช้ด้วย อย่างตอนแรกที่เราเริ่มปลูกกล้วยหอมทองมีเกษตรกรเพียงไม่กี่กลุ่ม กลุ่มละ 10-20 คน แต่หลังจากกลุ่มแรกๆ ส่งกล้วยหอมทองไปญี่ปุ่นประสบความสำเร็จ กลุ่มอื่นๆ ที่เห็นก็อยากที่จะปลูกบ้าง จนทุกวันนี้เรามีเกษตรกรทั้งหมด 82 กลุ่มที่ปลูกกล้วยหอมทองส่งออก”

“เพราะ 1 ไร่ จะลงทุนประมาณ 20,000 บาท สามารถปลูกกล้วยหอมทองได้ทั้งหมด 400 หน่อ ต่อไร่ แต่ขายผลผลิตได้ประมาณ 80,000 บาท ต่อไร่ ถือว่ามีรายได้ค่อนข้างดี และทำให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น ซึ่งผ่านมาเราส่งกล้วยหอมทองภายในกลุ่มของเราไปญี่ปุ่น 100% แต่ตอนหลังจึงมาประชุมร่วมกันว่าเราน่าจะส่งขายภายในประเทศบ้าง เพื่อให้คนไทยมีโอกาสกินกล้วยหอมทอง”

“จนที่สุดจึงติดต่อกับ 7-11 เพื่อขอนำกล้วยหอมทองจากสหกรณ์การเกษตรบ้านลาดเข้าไปวางจำหน่ายในสาขาทั้งหมดที่มีมากกว่า 8,000-9,000 สาขาทั่วประเทศ จนทำให้ยอดการส่งออกสินค้าไปญี่ปุ่นเหลือเพียง 90% และ 10% วางจำหน่ายภายในร้านคอนวีเนี่ยนสโตร์”

“ศิริชัย” บอกว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากองค์ความรู้ของมูลนิธิปิดทองหลังพระ ที่ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยให้ความรู้ โดยเฉพาะในเรื่องของชุมชนพึ่งตนเอง เพื่อเดินตามรอยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อีกส่วนหนึ่งได้วิชาการทางด้านการเกษตรจากเกษตรตำบล อำเภอ และจังหวัด รวมถึงการเชื่อมโยงองค์ความรู้ต่างๆ ที่เราเข้าไปศึกษาดูงานโครงการพระราชดำริในที่ต่างๆ นอกจากนั้น ก็เป็นองค์ความรู้การปลูกกล้วยหอมทองให้ได้คุณภาพจากเกษตรกรชาวญี่ปุ่น

“เพราะเป้าหมายที่เราต้องการจริงๆ คือการสร้างเกษตรกรให้เป็นปราชญ์ชาวบ้าน หรือเป็นเกษตรกรตัวอย่างในการเป็น Smart Farmer เพราะถ้าเราสามารถสร้างเกษตรกรให้มีความรู้ขนาดนั้นได้ เขาจะได้นำองค์ความรู้ที่มีไปต่อยอด และให้ความรู้แก่เกษตรกรในจังหวัดอื่นๆ ต่อไป เสมือนเป็นการแบ่งปันองค์ความรู้ให้กับเพื่อนเกษตรกรด้วยกัน เหมือนอย่างทุกวันนี้เกษตรกรของเราไปช่วยในพื้นที่ต่างๆ บ้าง แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะทุกคนอยากประสบความสำเร็จ แต่การจะประสบความสำเร็จได้ต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง”

“ตอนนี้กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกกล้วยหอมทองที่อำเภอบ้านลาด ถูกรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น จนมีชื่อเสียงในต่างประเทศ และภายในประเทศ กระทั่งมีเกษตรกรในพื้นที่อื่นๆ อยากเป็นเหมือนเราบ้าง ซึ่งเราก็ไม่ว่าอะไร พร้อมสนับสนุนด้วยซ้ำ แต่อย่างว่าการปลูกกล้วยหอมทองแต่ละพื้นที่คุณภาพที่ได้อาจมีความแตกต่างกัน เพราะกล้วยหอมทองชอบอากาศร้อนชื้น อุณหภูมิประมาณ 25-35 องศา และที่บ้านลาดอุณหภูมิเหมาะสมต่อการปลูกกล้วยหอมทองอย่างมาก”

“ซึ่งเหมือนกับทางภาคใต้ เขาปลูกกล้วยหอมทองเหมือนกัน แต่ผลผลิตที่ได้กลับแตกต่าง ของเขาเปลือกจะหนา และผลจะใหญ่คล้ายกับกล้วยฟิลิปปินส์ และไม่หอมเหมือนกล้วยหอมทองบ้านลาด อีกอย่างอาจอยู่ที่แหล่งน้ำด้วย ที่ทำให้คุณภาพรสชาติของกล้วยมีความแตกต่างกัน”

ถึงตรงนี้ จึงอดถาม “ศิริชัย” ไม่ได้ ว่าเพราะเหตุใด? ทำไม? กล้วยหอมทองจึงไปมีชื่อเสียงที่ประเทศญี่ปุ่น เขาจึงตอบให้ฟังว่าญี่ปุ่นเขาจะมีการจัดงานเทศกาลผลไม้นานาชาติทุกปี ผู้คนจากทั่วโลกจะนำผลไม้ประจำชาติของตัวเองมาร่วมออกงาน ส่วนของประเทศไทยเองก็มีผลไม้หลายชนิดมาร่วมงาน แต่เรานำกล้วยหอมทองจากบ้านลาดไปร่วมออกงาน

“ภายในงานจะมีบริการให้ทุกคนลองชิมกล้วยหอมจากประเทศต่างๆ ซึ่งมีกล้วยหอมจากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมงาน อาทิ แอฟริกา เอกวาดอร์ สาธารณรัฐโดมินิกัน ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย พอชิมเสร็จแล้ว เขาจะให้คนเหล่านั้นเขียนใบโหวตลงกล่องว่ากล้วยหอมจากประเทศไหนอร่อยที่สุด ปรากฏว่าของเราได้ที่ 1 ตรงนี้จึงกลายเป็นตัวชี้วัดว่ากล้วยหอมทองของเราอร่อยกว่าใครๆ รู้สึกตอนนั้นจะประมาณปี 2557”

ผ่านมาเพียง 3 ปี

แต่เป็น 3 ปีที่ทำให้สมาชิกภายในสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งยังทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้นด้วย ที่สำคัญยังทำให้มีเงินหมุนเวียนภายในสหกรณ์มากขึ้นตามมาด้วย

แต่กระนั้น “ศิริชัย” ยังเป็นห่วงว่าในการบริหารจัดการสมาชิกภายในกลุ่มให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน จะต้องสร้างตัวตายตัวแทนเกษตรกรรุ่นใหม่ขึ้นมา เพราะสมาชิกในปัจจุบันอายุล่วงเข้ามัชฌิมวัย และปัจฉิมวัยกันเกือบหมดแล้ว ดังนั้น หากไม่มีการสร้างทายาทขึ้นมาทดแทน อาจทำให้เกิดการขาดแคลนเกษตรกรได้

“ผมจึงประชุมร่วมกับสมาชิกทุกคนเพื่อจัดทำโครงการทายาทเกษตรรุ่นใหม่ขึ้นมา เริ่มต้นจากลูกหลานภายในกลุ่มก่อน อายุตั้งแต่ 18-30 ปี โดยให้พวกเขาเขียนโครงการเข้ามานำเสนอว่าถ้าเขาจะทำการเกษตรเขาจะปลูกอะไร โดยทางกลุ่มจะให้เงินทุนเริ่มต้น 1 แสนบาท เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยไม่คิดดอกเบี้ย ตอนนี้เราทำไปทั้งหมด 3 รุ่นแล้ว ปรากฏว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีมาก”

“เพราะเราเห็นว่าลูกๆ หลานๆ ของพวกเขา พอเรียนหนังสือสูงๆ จะไปทำงานในเมืองกันหมด ไม่ค่อยมีใครอยากทำเกษตรกร เราจึงพยายามปลูกฝังพวกเขาตรงนี้ และพยายามสร้างแรงบันดาลใจให้เขาเห็นว่าที่พวกคุณประสบความสำเร็จเรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ล้วนมาจากเงินของพ่อแม่ที่ทำการเกษตรทั้งสิ้น อีกอย่างพ่อแม่พวกคุณก็เริ่มแก่ชรามากแล้ว ถ้าคุณมาทำการเกษตร ก็จะได้มาดูแลพวกเขายามเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย”

“ยิ่งเดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่หลายคนเริ่มหันมาเป็นเกษตรกรกันมาก แต่เรามีที่ดิน มีสวน มีไร่อยู่แล้ว น่าจะมาทำอาชีพเสริมตรงนี้อีกทาง ซึ่งหลายคนเห็นด้วย เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าปัจจุบันกลุ่มสหกรณ์เกษตรกรบ้านลาดมีชื่อเสียงขจรขจายไปไกล และเขาเองก็เป็นลูกหลานของที่นี่ น่าจะต่อยอดจากสิ่งที่พ่อแม่ทำมาเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยใช้ความชำนาญทางเทคโนโลยีที่เขามีมาเป็น Smart Farmer ในที่สุด”

การทำอย่างนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างคนรุ่นใหม่ให้เกิดแรงบันดาลใจ หากยังเป็นการสอนให้พวกเขากลับยังถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเอง เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุข

ทั้งยังเป็นความสุขที่เกิดจากการสร้างภายในของตัวเอง

จนทำให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต