ทำยังไง? จากพริกแกงตลาดนัด สู่ธุรกิจร้อยล้าน “จะโหรมเครื่องแกง” เสิร์ฟความเผ็ดร้อน 13 ประเทศทั่วโลก 

ทำยังไง? จากพริกแกงตลาดนัด สู่ธุรกิจร้อยล้าน
ทำยังไง? จากพริกแกงตลาดนัด สู่ธุรกิจร้อยล้าน "จะโหรมเครื่องแกง" เสิร์ฟความเผ็ดร้อน 13 ประเทศทั่วโลก 

ทำยังไง? จากพริกแกงใส่กะละมังวางขายในตลาดนัด สู่ธุรกิจร้อยล้าน “จะโหรมเครื่องแกง” ของดีเมืองตรัง เสิร์ฟความเผ็ดร้อน 13 ประเทศทั่วโลก 

จะโหรมเครื่องแกง คือ ธุรกิจพริกแกง จากจังหวัดตรัง ลงมือทำกันในครอบครัวเล็กๆ ด้วยแรงงานแค่ 4-5 คน วางขายในตลาดนัด ก่อนส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่น 2 เข้ามาสานต่อกิจการ ยกระดับเครื่องแกงบ้านๆ สู่โรงงานมาตรฐานสากล วางขายในห้างสรรพสินค้าและรับจ้างผลิต (OEM) ให้ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ พร้อมพาเครื่องแกงไทยโกอินเตอร์ ส่งออกถึง 13 ประเทศทั่วโลก

“ใครจะคิดว่าพริกแกงที่ใส่กะละมังวางขายในตลาดนัด จะสามารถทำยอดขายได้สูงถึงวันละ 40,000 บาท” ความประทับใจถ่ายทอดออกมาจากน้ำเสียงของ คุณชุติมา อาลิแอ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีแอนด์จี ฟู๊ดซัพพลาย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายพริกแกง ที่มีต่อคุณแม่สามี “เกษร อาลิแอ” หรือ “จะโหรม” ผู้ให้กำเนิด จะโหรมเครื่องแกง ขึ้นเมื่อปี 2529

คุณชุติมา อาลิแอ
คุณชุติมา อาลิแอ

คุณชุติมา เล่าว่า ส่วนตัวเรียนจบปริญญาตรีทางด้านวิทยาศาสตร์อาหาร (Food Science) และปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ทำให้เห็นโอกาสที่จะผลักดันให้กิจการของครอบครัวสามีเติบโตได้ไกลกว่านี้ จึงเริ่มจากมองตลาดใหม่ ไม่ใช่ในตลาดนัด แต่คือการยกระดับตัวเองขึ้นห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ประกอบกับช่วงเวลานั้น มีห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ ที่ จ.ตรัง และอยากได้สินค้าท้องถิ่นเข้าไปขาย ทำให้ธุรกิจมีโอกาสนำพริกแกงไปจำหน่าย ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคจำนวนมาก

จะโหรมเครื่องแกง
จะโหรมเครื่องแกง

“ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากความพยายามและโอกาสที่ได้รับ การเข้าไปวางจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้าครั้งนั้นขายดิบขายดีจนถูกทาบทามเพื่อไปวางจำหน่ายที่ จ.ภูเก็ต ยอมรับว่าเป็นโอกาสที่ดี นับเป็นการเดินทางไกลบ้านครั้งแรกของจะโหรมเครื่องแกง

พร้อมทำตลาดและประชาสัมพันธ์ ใช้วิธีทำพริกแกงเป็นถุงเล็กๆ แจกตามร้านอาหาร เพื่อสร้างการรับรู้ แต่ช่วงเวลานั้นไม่ได้รับความสนใจมาก เลยปรับเปลี่ยนสถานที่วางขาย เลือกห้างท้องถิ่นของ จ.ภูเก็ต ก็ได้รับการตอบรับที่ดี จาก 30 ถุง คำสั่งซื้อเพิ่มเป็น 300 ถุง ในเวลาไม่ถึงวัน และขยับเพิ่มเป็น 700 กิโลกรัม และทุกวันนี้ จะโหรมเครื่องแกง ยังคงส่งสินค้าวางจำหน่ายสัปดาห์ละ 1,500-2,000 กิโลกรัม เป็นเวลา 18 ปีมาแล้ว”

เราใช้เวลาเพียง 3 ปี จะโหรมเครื่องแกง สามารถวางขายได้ทั่วประเทศ ยังเป็นลักษณะการตักขาย ยังไม่มีบรรจุภัณฑ์เป็นของตัวเอง จนเมื่อตัดสินใจขยับจากการผลิตในบ้าน มาเป็นลงทุนซื้อที่และตั้งโรงงานขนาดใหญ่ได้มาตรฐาน ตลาดของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

จุดเด่นของ จะโหรมเครื่องแกง มาพร้อมกับมาตรฐาน ด้วยโรงงานที่ทันสมัยตามสากล เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นการบรรจุสุญญากาศ (Vacuum Packaging) สามารถอยู่ได้นาน 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น  มาตรฐาน ทั้ง อย., GMP,  HACCP และสูงกว่านั้นก็คือ BRC Global Standards มาตรฐานสากลเพื่อความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดและช่วยให้เราส่งออกไปยังยุโรปได้”

จะโหรมเครื่องแกง
จะโหรมเครื่องแกง

ปัจจุบัน จะโหรมเครื่องแกง ส่งออกไปยัง 13 ประเทศทั่วโลก อยู่เบื้องหลังโรงงานผลิตและแบรนด์อาหารทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่วางจำหน่ายอยู่ทั่วโลก จากกำลังการผลิตวันละ 500 กิโลกรัม ถึง 1 ตัน และปัจจุบันผลิตได้วันละประมาณ 5 ตัน ซึ่งยังไม่เต็มกำลังการผลิต ยังสามารถผลิตเพิ่มได้อีกประมาณ 40% จากธุรกิจเล็กๆ วางขายในตลาดนัด วันนี้ จะโหรมเครื่องแกง กลายเป็นธุรกิจร้อยล้าน ส่งขายทั่วไทยและส่งไปในตลาดโลก มีผลิตภัณฑ์ทั้งเครื่องแกง น้ำแกงพร้อมปรุง (Ready to Cook) และอาหารพร้อมรับประทาน (Ready to Eat)

จะโหรมเครื่องแกง
จะโหรมเครื่องแกง

คุณชุติมา กล่าวว่า “เชื่อมั่นว่าหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ สามารถเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้คือ ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า การมุ่งเน้นในคุณภาพ มาตรฐาน และที่สำคัญคือ ไม่ย่อท้อ โดยเอาความตั้งใจของมะ แม้ตอนนี้ท่านได้เสียไปแล้ว แต่ยังคงเป็นกำลังใจให้เราพัฒนาธุรกิจต่อไปไม่หยุดนิ่ง พร้อมพัฒนาสินค้าต่อยอดไปเรื่อยๆ

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับพาร์ตเนอร์ที่สำคัญ ตั้งแต่วันเริ่มต้นธุรกิจ SME D Bank เป็นธนาคารแรกที่เข้ามาให้การสนับสนุน ตั้งแต่ จะโหรมเครื่องแกง ยังเป็นธุรกิจเล็กๆ และเป็นเหมือนลมหายใจของธุรกิจ สถาบันการเงินอื่นอาจให้แค่จำนวนเงิน แต่ SME D Bank เคียงข้างเราและเติบโตไปด้วยกัน หรือเรียกว่า Growth Together เขาให้เราเติบโตไปด้วยกัน ไม่ปล่อยให้เดียวดาย และระหว่างทางเวลามีการอบรม หรือโครงการอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจ จะแนะนำมาตลอด เพื่อให้เรามีความพร้อมปรับธุรกิจ รับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด”