ผู้เขียน | เสาวลักษณ์ สวัสดิ์กว้าน |
---|---|
เผยแพร่ |
“หาเงินได้มากก็ใช้มาก หาไป หมดไป มาอยู่แบบนี้ หาได้น้อย ก็ใช้น้อย แถมดีต่อสุขภาพ ได้ดูแลแม่ด้วย”
นี่เป็นคำบอกเล่า ของคุณบี หรือ คุณพักตร์วิภา ปัญญาพรวิจิตร์ วัย 45 ปี ที่เป็นต้นแบบคนรุ่นใหม่ โบกมือลาเมืองหลวง กลับไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ ที่บ้านเกิด จ.แพร่ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ จะไม่มิใช่เป็นเพียงคำมโนในโซเชียลอีกต่อไป
ก่อนที่จะไปเจาะลึกถึงแนวคิดการใช้ชีวิตของเธอ เรามาดูเรื่องราว การทำงาน อาชีพของเธอในวัยเริ่มต้น
หลังจากจบ การศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุณบี ก็ออกไปทำงานเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่นหลายคน นั่นคือยึดอาชีพพนักงานขายยาคน หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า ดีเทลยา ที่ต้องบอกว่าเป็นยาคน เพราะผู้ที่เรียนจบทางด้านนี้ หลายคนก็ไปขายยาสัตว์ ยาพืช ฮอร์โมนพืช ฮอร์โมนสัตว์ อะไรว่ากันไป
อย่างที่ทราบกัน อาชีพดีเทลยา ทำเงินได้ไม่น้อยต่อเดือน บางคนทำแค่ไม่กี่ปี ก็ซื้อตึกแถวได้แล้ว คุณบีเอง ก็มีรายได้ต่อเดือนไม่น้อย แต่เธอบอกว่า “หาได้มาก ก็ใช้มาก” นั่นเป็นเพราะเธอต้องมีรายจ่ายมากมาย อันเป็นค่าครองชีพในเมืองหลวง
กระทั่งเมื่อสักราวปี 2554 คุณแม่ของเธอ เริ่มมีสุขภาพไม่ดี อีกทั้งร้องขอให้เธอกลับบ้านเกิดที่เมืองแพร่ เพื่อไปอยู่ด้วยกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าว คุณบี ตัดสินใจลาออกจากงาน ขายบ้านที่กรุงเทพฯ ได้เงินก้อนหนึ่ง กลับไปเริ่มต้นใหม่
“เราก็นั่งเฉยๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วก็มาคิดว่าเรามีนาอยู่ ปกติให้เค้าเช่า แต่ก็มีปัญหากับคนเช่ามาตลอด แม่ก็ชวนว่า เราทำนากันมั้ย” นั่นเป็นจุดเริ่ม ที่คุณบี หันมาเอาดีทางเกษตร
นาที่ทำ คุณบี เลือกทำนาปลอดสารพิษ ปลูกข้าวพื้นเมือง อย่าง หอมมะลิ หอมมะลิแดง หอมนิล และข้าวสังข์หยด ซึ่งได้ผลดี ปลูกเอง ขายเอง ตามงานอีเว้นต์ที่มีคนชวนไป รวมทั้งตลาดนัด กระทั่งโด่งดังในหมู่เพื่อนฝูงของเธอว่า “บีกลับไปทำนาที่แพร่แล้ว”
ในบรรดาพันธุ์ข้าวที่ปลูก คุณบีบอกว่า ข้าวสังข์หยด ใช้เวลาปลูกมากกว่าพันธุ์อื่น อย่างพันธุ์อื่น ปลูก 120 วัน แต่ ข้าวสังข์หยดนี่ ใช้เวลา 150 วัน ทีเดียว ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้น คือพอข้าวพันธุ์อื่นเกี่ยวแล้ว สังข์หยดยังเกี่ยวไม่ได้ นกก็จะมารุมในแปลงนา ซึ่งนี่เป็นข้อคิดสำหรับคนที่สนใจปลูกข้าวอินทรีย์
เนื่องจากการทำนา ใช้เวลาไม่มากนัก ใน 1 ปี ทำแค่ไม่เดือน เวลาว่างที่เหลือก เธอก็ปลูกผัก หม่อน ถั่ว ไปเรื่อย เป็นการทำการเกษตรพอเพียงอย่างแท้จริง
ปลูกข้าวไปได้พักใหญ่ ปัญหาที่เข้ามาคือเรื่องแรงงาน แรงงานหายากและขาดแคลน เนื่องจาก การทำนามักต้องการแรงงานในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากเมื่อไม่มีแรงงาน
“การทำนา ปลูกข้าวออร์แกนิค ได้ผลดีนะ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องแรงงาน เพราะช่วงก่อนหน้านี้ คนปลูกข้าวออร์แกนิคไม่มากเหมือนตอนนี้ คนปลูกเองขายเอง แทบไม่มี แต่ตอนนี้เริ่มมีเยอะขึ้น” คุณบี ว่าอย่างนั้น
จบจากการทำนา คุณบี หันมาย้อมผ้าสีธรรมชาติ ทั้งผ้าผืนเพื่อให้ลูกค้านำไปตัดเย็บ และเสื้อ ผ้าซิ่น ที่ทำออกขายเอง ซึ่งสีที่ใช้ เป็นสีธรรมชาติ เช่น สีแดง ชมพู ได้จากครั่ง / สีน้ำตาลจากประดู่ /สีเขียวได้จากห้อมแล้วทับด้วยสีใบหูกวาง / สีส้มจากเมล็ดคำแสด และสีน้ำเงิน จากคราม เป็นต้น
ซึ่งการย้อมผ้า คุณบีก็ทำมาราว 3 ปีแล้ว เธอบอกว่าเป็นสิ่งที่ทำได้คนเดียว ไม่ต้องใช้แรงงาน ทำออกมาแล้วก็ขายผ่านอินเตอร์เน็ต ขายที่งานอีเว้นต์อย่างงานบ้านและสวน และล่าสุด ก็ไปที่ตลาดนัดลิตเติ้ลทรี
นอกจากนี้ ยังได้ลูกค้าที่ตามมา จากการไปพบกันที่งานอีเว้นต์อีก เรียกว่า มีออร์เดอร์เข้ามาเรื่อยๆ
“ตอนนี้ ก็ย้อมผ้าเป็นหลัก ผลตอบรับที่ได้ก็ดี ก็เป็นอะไรที่เราชอบ สนุก ไม่เบื่อ คนเดียวก็ทำได้ วันไหนเราจะไปวัด ก็หยุดก่อน แล้วค่อยมาทำต่อ” คุณบี ว่าอย่างนั้น
“เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ปล่อยคำถามไปตามธรรมดาสามัญว่า ถามจริงๆเสียดายรายได้ ตอนทำงานดีเทลยาหรือไม่?
คุณบี ตอบกลับมาด้วยความมั่นใจว่า “ดีเทลยา ได้เงินเยอะก็ใช้เยอะ แต่ทำอันนี้ อยู่บ้าน ใช้น้อย บ้านไม่ต้องเช่า ค่าครองชีพถูก มีอิสระอย่างแท้จริง ถ้าเป็นลูกจ้างอยากหยุดไปปฏิบัติธรรมสัก 20 วันก็ทำไม่ได้ ส่วนรายได้ ก็พออยู่ได้ ไม่ถึงกับลำบาก แค่ไม่ร่ำรวย เพราะลูกค้าก็ชอบสไตล์ที่เราทำอยู่ แต่เอาจริงๆ การย้อมผ้าถ้าทำจริงจัง มีแรงงาน ก็ทำในเชิงการค้าได้”
หลายคนคงสงสัยว่า คุณบีไปหาความรู้การย้อมผ้ามาจากไหน
คุณบี ก็เป็นเหมือนกับใครอีกหลายคน ที่จะได้ความรู้ใหม่ๆ จากอินเตอร์เน็ท จากนั้นก็ทดลองทำ ลองผิด ลองถูก จนได้สูตรจากประสบการณ์ ดังนั้น คำเดียวสั้นๆ สำหรับเป็นแง่คิดนั่นคือ “ความขวนขวาย” นั่นเอง
นอกจากจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ หลุดจากกรอบ แล้ว คุณบี บอกว่า สุขภาพเธอก็ดีขึ้นมาก เมื่อก่อนหาเงินได้เยอะ ก็เสียเงินไปรักษาสุขภาพเยอะ ทั้งภูมิแพ้ และอื่นๆ แต่ตอนนี้แทบไม่ต้องหาหมอ เพียงแค่เธอได้อยู่กับธรรมชาติ
“เราได้เรื่องสุขภาพ ตอนเราอยู่กรุงเทพฯ เป็นภูมิแพ้ ยาอะไรก็เอาไม่อยู่ ไปรักษาตัว กินอาหารธรรมชาติ ไปล้างพิษ กินวิตามิน หมดเงินไปเยอะ พอกลับมาอยู่บ้านแล้วดีขึ้นมาก มีเวลา มีอิสระ” คุณบี ว่าอย่างนั้น
และนี่ก็เรื่องราว แนวคิดใหม่ๆ ที่เริ่มเข้ามาในกระแส อาจจะเหมาะกับบางคน ไม่เหมาะกับบางคน ขึ้นอยู่กับการเลือกทางที่จะเดิน ซึ่งที่สุดแล้วก็พิสูจน์ให้เห็นว่า การทำมาหากิน การทำอาชีพ รายได้ มิได้มองหรือวัดจากด้านเดียว
ปัจจุบัน คุณบี อยู่ที 47/2หมู่2ต.กาญจนา อ.เมือง จ.แพร่ 54000 หรือเข้าไปในเพจเฟซบุ๊ก บีบี ฟาร์ม
ขอบคุณภาพประกอบจากเฟซบุ๊ก บีบีฟาร์ม