ที่มา | เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
“ส้ม” ผลไม้รสชาติอร่อย สรรพคุณหลากหลาย อีกทั้งเป็นผลไม้ราคาไม่แพง ลงทุนปลูกไม่กี่ปี สามารถเก็บขายได้นานเป็นสิบๆ ปี ส้มออกผลให้ทานทุกฤดู เมื่อ 20 ปีก่อน เกษตรกรจึงหันมาปลูกส้มกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ “ส้มเขียวหวาน” ที่ปลูกเพียง 3 ปี ก็สามารถเก็บผลผลิตขายได้แล้ว เรียกได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองของชาวสวนไร่ส้มเลยทีเดียว
ต่อมาในปี 2538 เกิดภาวะ “สวนล่ม” ต้นส้มยืนต้นตายเป็นจำนวนมาก เกษตรกรหลายรายปรับตัวหันไปปลูกพืชไร่พืชสวนอย่างอื่น เลือกย้ายถิ่นไปลงทุนทำสวนส้มที่อื่นบ้าง มีเพียงไม่กี่เจ้า ที่ยังคงยึดมั่นในการทำสวนส้มในพื้นที่เดิม
คุณจำเรียง ศิลปะปดุง เกษตรกรวัย 66 ปี เจ้าของสวนส้มในอำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี หนึ่งในเกษตรกรที่เจอพิษสวนส้มล่มในตอนนั้น เล่าให้ “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ฟังว่า
เมื่อ 40 กว่าปีก่อน คุณพ่อของเธอได้มาบุกเบิกที่ทาง ทำสวนแตงโมและสวนพริก ต่อมาพี่ชายมารับช่วงต่อ เขาก็เริ่มหันมาปลูกส้มเขียวหวานแทนแตงโมและพริก โดยส้มที่ปลูกเป็นส้มเขียวหวานพันธุ์บางมด ประมาณ 60 ไร่ ปลูกเรื่อยมาจนเธอมารับช่วงกิจการสวนได้ไม่กี่ปี ก็ประสบกับภาวะสวนส้มล่มในปี 2538 จึงทำการตัดต้นส้มทิ้งทั้งหมด ปรับหน้าดินอยู่พักหนึ่งก็หันมาปลูกมะนาว และฝรั่ง เพื่อทานเองและส่งจำหน่าย
หลายปีต่อมา เธอได้ข่าวว่า เกษตรกรชาวราชบุรี ปลูกส้มพันธุ์หนึ่งที่ทนโรค ได้ผลดี ส้มพันธุ์นั้นคือส้มเขียวหวานพันธุ์เขียวดำเนิน คุณจำเรียงจึงศึกษาข้อมูล ค้นคว้าวิธีปลูกจนแน่ใจว่าสามารถปลูกได้ จึงตัดสินใจซื้อกิ่งพันธุ์ของส้มเขียวหวานพันธุ์เขียวดำเนิน มาลองปลูกดูอีกครั้ง
ปัจจุบัน คุณจำเรียงปลูกส้มเขียวหวานพันธุ์เขียวดำเนิน จำนวน 2,000 กว่าต้น บนเนื้อที่ 10 ไร่ มีการปลูกผลไม้อื่น อาทิ มะพร้าว ฝรั่ง และมะนาว ปะปนกันไปในสวน หวังรายได้หลายทาง เนื่องจาก “ส้มราคาถูก”
ด้วยความสงสัยว่าทำไมส้มถึงมีราคาถูก ทั้งๆ ที่เห็นผลอยู่เยอะแยะเต็มสวน อีกทั้งเทศกาลที่มีการซื้อขายผลไม้เยอะๆ อย่าง เทศกาลตรุษจีนใกล้เข้ามา ส้มน่าจะขายได้ราคาดี เธอกล่าวว่า ส้มเป็นผลไม้ที่ปลูกยากและลงทุนสูง เมื่อสวนล่มไปตอนปี 2538 เกษตรกรสวนส้มก็เลิกปลูกกันไปหลายราย
แต่ตอนนี้มีคนหันมาปลูกส้มเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งมีการนำส้มนอก อย่าง ส้มจีน ที่ราคาถูกกว่า แต่รสชาติค่อนข้างจืด เข้ามาขายในตลาดผลไม้เมืองไทย ทำให้ส้มไทยล้นตลาด ขายผลผลิตได้น้อย อีกทั้งเศรษฐกิจปีหลังๆมานี้เงียบเหงา ทำให้คนไม่ค่อยใช้เงินเท่าใดนัก
สมัยก่อนมีพ่อค้ามารับซื้อส้มที่สวน ให้ราคากิโลกรัมละ 20 บาท สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนส้มได้ดีเลยทีเดียว แต่ปัจจุบัน ราคาเหลือกิโลกรัมละ 10 บาท อีกทั้งวันหนึ่ง รับซื้อแค่ 2,500 กิโลกรัม หรือ 1 คันรถกระบะเท่านั้น โรงงานผลิตน้ำผลไม้เองรับซื้อผลผลิตในจำนวนน้อย จึงอาศัยนำส้มไปขายเอง ยังพอได้เงินบ้าง บวกกับเธอทำกิ่งพันธุ์ขายและปลูกผลไม้อย่างอื่นในสวน เลยมีรายได้จากตรงนี้เสริมเข้ามา พออยู่ได้
“ปกติชาวสวนจะมีการตกลงจำนวนและราคารับซื้อผลผลิตกับพ่อค้าคนกลาง ก่อนที่จะปลูกผลไม้ เมื่อชาวสวนขายผลผลิตให้ได้ตามจำนวนก็เป็นอันจบ หลังจากนี้ก็แล้วแต่ว่าเขาจะเอาไปขายต่อราคาเท่าไหร่ ตรุษจีนปีที่ผ่านมา คนจับจ่ายซื้อของไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี เขาก็หันไปซื้อส้มจีนที่ราคาถูกกว่ามาไหว้แทน ปีนี้ดูแล้วก็เงียบเหงาเหมือนปีก่อนๆ คนคงซื้อส้มซื้อของกันไม่เยอะ” คุณจำเรียง กล่าว