เผยแพร่ |
---|
ขบวน รถไฟสายอีสเทิร์น แอนด์ โอเรียนท์ เอ็กซ์เพรสเป็นสาขาหนึ่งของรถไฟ “ดิ โอเรียนท์ เอ็กซ์เพรส”(The Oriental Express) อันโด่งดังของบริษัทเบลมอนด์(Belmond Ltd). ซึ่งในยุคทองของการรถไฟเมื่อร้อยปีก่อนไม่มีรถไฟขบวนไหนจะโด่งดังไปกว่า ดิ โอเรียนท์ เอ็กซ์เพรส อีกแล้ว แต่เนื่องจากเรื่องราวของดิ โอเรียนท์ เอ็กซ์เพรสยาวมาก ก็เลยต้องขอตัดตอนเล่าเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ อีสเทิร์น แอนด์ โอเรียนท์ เอ็กซ์เพรส(อีแอนด์โอ) ซึ่งเป็นขบวนลูกไปก่อน คราวหน้าค่อยว่าด้วยรถไฟหรูขบวนแม่
“อีแอนด์โอ” เป็นความคิดของเจมส์ เชอร์วู้ด ผู้ก่อตั้งเครือโรงแรม รถไฟ และเรือสำราญโอเรียนเอ็กซ์เพรส เขาเป็นคนนำขบวนรถไฟสายโอเรียนต์ เอ็กซ์เพรส สายเวนิส-ซิมพลอนกลับมาใหม่ในยุโรป เลยอยากขยายการเดินรถไฟมาทางเอเชียบ้าง
ถึงแม้ “อีแอนด์โอ” จะเป็นรถไฟรุ่นลูกแต่ก็ยังก็รักษาระดับความหรูหราราคาแพงสนองรสนิยมวิไลของผู้ใช้บริการผ่านเส้นทางอันสุดแสนโรแมนติกในกลุ่มประเทศภาคีอาเซียน-สิงคโปร์-มาเลเซีย ไทย และลาว ซึ่งเปิดเดินรถกันเป็นประจำ
“อีแอนด์โอ” เป็น “รถไฟสำราญ” ในลักษณะเดียวกับ “เรือสำราญ” ที่เรารู้จักกันดีผ่านภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลายเรื่องที่นำบรรยากาศเรื่องราวระหว่างการเดินทางของชนชั้นสูง มาสร้างเป็นจินตนาการในนิยายสืบสวนโด่งดังที่มีเหตุการณ์หลากหลายรสชาติอุบัติขึ้น คนที่มาเที่ยวด้วยรถไฟขบวนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากพวกเที่ยวเรือสำราญเลย เนื่องจากค่าโดยสารแพงจัด ดังนั้นจึงเป็นรถไฟหรูของบรรดาเศรษฐีแทบจะทั้งขบวนก็ว่าได้
“ลักซ์ชัวรี่-ความหรูหรา” คือ คีย์เวิร์ด ของการพักผ่อนด้วยรถไฟแบบนี้ มันเป็นการผักผ่อน แบบหรูหราที่หมายถึงการมีเวลามากมายในการทำอะไรอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ การได้ชมวิวสองข้างทาง การได้รับประทานอาหารอร่อยๆ แบบไม่เร่งรีบ ไม่ต้องกังวลกับอะไรทั้งสิ้น มีทีมงานพร้อมที่จะให้บริการทุกอย่างให้คุณได้เดินทางไปพักผ่อนไป สามารถพูดคุยทำความรู้จักกับผู้โดยสารคนอื่นได้อย่างสำราญใจ หรือไม่ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากนั่งชมวิวผ่านไปเรื่อยๆ
รถไฟสำราญสายอีสเทิร์น แอนด์ โอเรียนท์ เอ็กซเพรส และ ดิ โอเรียนท์ เอ็กซเพรส ต่างได้รับการโหวตให้เป็นหนึ่งใน 25 เส้นทางรถไฟที่ดีที่สุดในโลก (the “World’s Top 25 Trains) โดยสมาคมผู้โดยสารรถไฟระหว่างประเทศ(The Society of International Railway Travelers) ในแง่ขบวนรถไฟที่หรูหราสวยงาม การบริการ อาหาร และการนำเที่ยวหาประสบการณ์ระหว่างเดินทางอันยอดเยี่ยม
Eastern & Oriental Express เปิดเดินรถในไทยมากว่า 20 ปีแล้ว และยังคงรูปโฉมเดิมมาตั้งแต่เปิดเที่ยวปฐมฤกษ์เมื่อเดือนกันยายน 2536 เป็นรถไฟระหว่างประเทศ เส้นทางกรุงเทพ – สิงคโปร์ ซึ่งมีความยาวทั้งขบวน 500 เมตร ประกอบโดยตู้โบกี้ทั้งหมด 22 ตู้
ภายในขบวนรถจะมีโบกี้เปิดโล่งสำหรับชมวิวอยู่ท้ายสุด มีห้องอาหารที่พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องบำรุงบำเรอความสุขจากตู้เสบียง 3 ตู้ ซึ่งตกแต่งประดุจภัตตาคารหรูหราให้เป็นไฮไลต์ของรถไฟขบวนนี้ มีห้องนั่งเล่นใช้เป็นห้องโถงสำหรับให้ผู้โดยสารได้มาพบปะกัน ห้องดนตรีหรือเปียโนบาร์สำหรับฟังเพลง ห้องสมุดซึ่งตกแต่งสุดแสนโรแมนติก มีโรงภาพยนตร์ ห้องฟิตเนส ห้องสปา นอกจากนั้นเป็นตู้สำหรับพนักงานและเตรียมการบริการสองตู้ ยังมีตู้สัมภาระอีกสามตู้
สำหรับห้องพักจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท 3 ราคา คือ
ห้องเพรสสิเดนท์สวีท เป็นห้องราคาแพงสุดแต่ก็หรูมากที่สุด กว้าง 11.6 ตร.ม. มีห้องอาบน้ำ ห้องแต่งตัว และห้องนอนกว้างขวาง ภายในห้องประกอบด้วยโซฟาและ เก้าอี้นั่งเล่นสามตัว ซึ่งกลางคืนเปลี่ยนเป็นเตียงนอนใหญ่ ปัจจุบันราคาเริ่มต้นประมาณ 2 แสนบาท
ห้องสเตทเคบิน ขนาด 7.8 ตร.ม. เล็กลงมาในราคาเริ่มต้น 1.4 แสนบาท แต่สิ่งอำนวยวามสะดวกพร้อม เช่นที่แขวนเสื้อผ้า ห้องอาบน้ำ ไดร์เป่าผม อ่างล้างหน้าเล็กๆ โซฟาสองตัวซึ่งตอนกลางคืนจะปรับให้เป็นเตียงนอนสองเตียงคู่กัน
ห้องพูลแมนเคบิน เป็นห้องที่ราคาถูกที่สุด ขนาด 5 ตร.ม. แต่ก็ใช่ว่าจะไม่หรูหรานะ เตียงนอนเป็นแบบชั้นบน-ล่าง ซึ่งกลางวันจะกลายเป็นโซฟานุ่ม ๆ ให้นั่งเล่นเหมือนห้องอื่นๆ ห้องพูลแมนจะมีมากสุดในขบวนคือ 30 ห้อง ราคาเริ่มต้นราว 1 แสนบาท
สำหรับค่าโดยสารในแต่ละฤดูกาลจะถูกแพงแตกต่างกันไป เช่น การเดินทาง 4 วัน 3 คืนระหว่างกรุงเทพฯ-สิงคโปร์ ช่วงไฮซีซันในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมปีนี้ ซึ่งเปิดเดินรถในวันที่ 4,11,18 พ.ย. กับวันที่ 25 ธ.ค. ค่าตั๋วห้องพูลแมน £1,810 (99,550 บาท) ห้องสเตท £2,580 (141,900 บาท) ห้องเพรสิเดนท์ £3,930 (216,150 บาท)
ในแต่ละปีจะมีการปรับค่าโดยสารเพิ่มขึ้นตลอด อย่างในปี 2559 ก็กำหนดราคาออกมาแล้ว ช่วงไฮซีซัน เดือน ม.ค.-มี.ค. กับ ต.ค.-ธ.ค. ราคาต่อหัว £1,860, £2,660 และ £4,050 ตามลำดับ (อยากรู้เงินไทยให้เอา 55 คูณ) ส่วนโลว์ซีซันเดือน เม.ย.- ก.ย. ราคาปี 59 อยู่ที่ £1,690, £2,420 และ £3,510 ตามลำดับ
ค่าจ่ายทั้งหมดจะเหมารวมทุกอย่างเอาไว้แล้วทั้งอาหารเครื่องดื่มทุกมื้อและการนำเที่ยวตามสถานที่ต่างๆระหว่างทาง ซึ่งแต่ละห้องจะมี “บัตเลอร์” หรือพ่อบ้านคอยดูแลอย่างดีเหมือนกับโรงแรมระดับ 5 ดาว ตู้นอนทุกตู้มีห้องน้ำและห้องสุขภัณฑ์ส่วนตัวในแต่ละตู้ รองรับผู้โดยสารประมาณ 135 คน
สิ่งที่สร้างความรู้สึกหรูหราในการโดยสารรถไฟอีแอนด์โอ คือรูปลักษณ์และการตกแต่งที่พิเศษกว่ารถไฟขบวนอื่น ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเดินทางในช่วงยุคทองของรถไฟ ช่วงปีค.ศ.1920-30 ที่การเดินทางโดยรถไฟเป็นการเดินทางที่หรูหราที่สุด
นักออกแบบของอีแอนด์โอ ได้รับแรงบันดาลใจจากรถไฟยุโรปและภาพยนตร์เรื่อง “เซี่ยงไฮ้ เอ็กซ์เพรส”ที่โด่งดัง เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับการสืบสวนการฆาตกรรมในยุค 1920 เนื้อเรื่องส่วนใหญ่อยู่บนรถไฟหรูที่จินตนาการขึ้นในเมืองจีน ซึ่งนักออกแบบได้รับแรงบันดาลใจเรื่องการตกแต่งภายในมาจากหนังเรื่องนี้
ขบวนรถอีแอนด์โอเป็นรถเก่าสร้างในปี 1932 โดยบริษัทฮิตาชิ เคยถูกใช้งานอยู่ที่นิวซีแลนด์มาก่อน แล้วถูกซื้อมาปรับโฉมที่สิงคโปร์ มีลวดลายไม้ประดับมุก พรมจากเมืองไทย ผ้าบางอย่างจากอิตาลี และตั้งใจใช้ไม้ที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความหรูหรา อบอุ่น สบาย โดยเฉพาะงานแล็คเกอร์แวร์ฝีมือศิลปินหญิงชาวเอเชียทำมา ๒๕ ปีแล้วยังงดงามอยู่
ที่ผ่านมา “อี แอนด์ โอ” อ้าแขนรับเศรษฐีนักท่องเที่ยวมากมายจาก 120 ประเทศทั่วโลก ตลาดใหญ่ที่สุดคือสหราชอาณาจักร รองลงมาเป็นนักท่องเที่ยวใน แถบภูมิภาคเอเชียแฟซิฟิก เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีนไต้หวัน และประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เป็นที่น่าสังเกตว่าเศรษฐีในแถบเอเชียโดยเฉพาะจีนแผ่นดินใหญ่ยังไม่ค่อยนิยมเดินทางกับอีแอนด์โอมากนักเป็นเพราะคนแถวนี้ไม่มีประวัติการเดินทางโดยรถไฟหรูหรามาก่อน ไม่เหมือนผู้โดยสารแถวสหรัฐอเมริกาที่เห็นประธานาธิบดี ดารา เชื้อพระวงศ์ ผู้นำธุรกิจเดินทางโดยรถไฟหรูหราอยู่บ่อยๆ ชาวเอเชียหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อ 120 ปีที่แล้วการเดินทางโดยรถไฟนั้นถือว่าหรูหราที่สุดแล้ว
ลักษณะของการเดินทางไปกับอีแอนด์โอเหมือนการเข้าเช็คอินโรงแรมชั้นหนึ่งทุกประการ มีพนักงานมายกกระเป๋าไปเก็บไว้ในห้องพักไม่ต้องเหนื่อยหิ้วเอง รถไฟก็ออกเดินทางตรงเวลาจากหัวลำโพง 17.50 น. ตรงไปยังสถานีกาญจนบุรีเพื่อแวะชมสะพานข้ามแม่น้ำแควและอนุสรณ์สถานตามเส้นทางรถไฟสายมรณะในวันรุ่งขึ้น จากนั้นมุ่งหน้าลงใต้ไปประเทศมาเลเซีย สิ้นสุดปลายทางที่สถานีสิงคโปร์ ระยะทาง 2,318 กิโลเมตร
ตลอดเวลาเดินทาง ทุกเช้าพ่อบ้านประจำตู้โดยสารซึ่งทำงานตลอด 24 ชั่วโมงจะเสิร์ฟอาหารเช้าถึงห้องพัก มีน้ำชา กาแฟให้เลือกตามที่ชอบพร้อมอาหารเช้าที่เลือกเวลาได้ว่าต้องการกินตอนกี่โมง ไม่มีใครเร่งให้ตื่น จะนอนตื่นเที่ยงเลยก็ได้ หิวเมื่อไหร่ก็ค่อยเรียกพ่อบ้านหาของมาให้กิน
สำหรับอาหารมื้อเที่ยงและมื้อเย็นจัดเป็นคอร์สแบบฟิวชั่นฟู้ด ผสมผสานรสชาติตะวันออกกับตะวันตก ปิดท้ายด้วยขนมหวาน ชา กาแฟ ตกแต่งสวยงามไม่แพ้โรงแรมห้าดาว กินอิ่มแล้วใครชอบอยู่เงียบๆก็ไปนั่งชิลในห้องอ่านหนังสือ ถ้าเบื่อก็มีกิจกรรมอื่นให้ทำมากมาย หนึ่งในนั้นที่ได้รับความนิยมมากคือการนวดเท้า บ่ายๆมีช่วงเวลาดื่มไฮทีกับของว่าง และมีชั่วโมงให้ความรู้เรื่องผลไม้ไทยพร้อมกับมีผลไม้ให้ชิมด้วย
ช่วงเวลาพิเศษที่สุดคือเวลาอาหารค่ำ ที่มี เดรสโค้ด ให้ผู้ชายใส่สูทผูกไท ผู้หญิงแต่งชุดราตรีสวยเหมือนไปดินเนอร์ตามโรงแรมหรู นี่เป็นกฎที่ผู้โดยสารทุกคนต้องปฏิบัติตาม จึงทำให้ห้องอาหารไม่เพียงหรูหราด้วยเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับตกแต่งแต่เครื่องแต่งกายสวยงามของผู้คนที่มาร่วมดื่มกินได้เพิ่มความหรูหราภูมิฐานให้มากขึ้นอีก
อาหารเย็นทุกวัน 3 คืนจะเสิร์ฟเป็นคอร์สคุณภาพเทียบเท่าโรงแรม 5 ดาว ประกอบด้วยอาหารเรียกน้ำย่อย ซุปหรือสลัด ตามด้วยจานหลักซึ่งอาจเป็นข้าวกับแกงหรือสเต็ก มีไวน์ขาวไวน์แดงเสิร์ฟตลอดมื้ออาหาร
อิ่มแล้วใครยังไม่อยากกลับเข้าห้องก็ไปฟังเพลงต่อที่ห้องฟังเพลงหรือเปียโนบาร์ซึ่งเปิดตอนเย็นตั้งแต่หกโมงครึ่งยาวไปจนถึงตีสองหรือบางวันอาจถึงตีห้า ในห้องฟังเพลงนี้ยังมีโชว์พื้นเมืองต่างๆให้ชม ด้วย
เมื่อรถไฟเข้าจอดที่สถานทีปาดังเบซาร์ต้องเปลี่ยนหัวรถจักรเป็นของมาเลเซีย ผู้โดยสารประทับตราพาสปอร์ตที่นี่ วิวสองข้างทางเปลี่ยนจากป่ายางมาเป็นต้นปาล์ม และเมื่อถึงเมืองบัตเตอร์เวิร์ธ รถไฟแวะจอดให้ผู้โดยสารนั่งรถบัสข้ามสะพานไปเที่ยวเมืองจอร์จทาวน์ เกาะปีนัง ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลก ที่นี่มีทั้งชุมชนชาวจีน มาเลย์ และอินเดีย อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นย่านๆ จึงมีทั้งวัดจีน มัสยิด วัดฮินดู และโบสถ์ อยู่ในละแวกใกล้ๆกัน และผู้คนยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนแบบดั้งเดิมและวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย
วันสุดท้ายเช้าวันที่สี่รถไฟไปจอดเทียบชานชาลาที่สถานีรถไฟวู้ดแลนด์ของประเทศสิงคโปร์
ที่น่าภาคภูมิใจของชาวไทยคือพนักงานส่วนใหญ่ที่ได้รับเลือกให้มาทำงานกับอีแอนด์โอจนสร้างความประทับใจให้กับผู้โดยสารทั่วโลก เป็นคนไทยถึง 70 เปอร์เซนต์ และทำงานอยู่ส่วนหน้าด้านการต้อนรับเกือบทั้งหมด เป็นเพราะคนไทยได้รับการปลูกฝังให้ยิ้มแย้มมีอัธยาศัยดี ดูแลเอาใจใส่ผู้อื่นได้ดี
ปัจจุบัน The Eastern & Oriental Express จัดเดินรถ 9 เส้นทาง และตั้งแต่ปี 2550 ได้เปิดเส้นทางระหว่างกรุงเทพ-เวียงจันทน์ ล่าสุดเมื่อปี 2553 ได้เปิดเส้นทางระหว่างกรุงเทพ-เชียงใหม่เพิ่มอีก แต่เส้นทางยอดนิยมที่สุดยังเป็นสิงคโปร์-กรุงเทพฯ
ใครสนใจอยากลองมีประสบการณ์เดินทางหรูหราโดยรถไฟสักครั้งในชีวิตขอแนะนำรถไฟสำราญขบวนนี้ The Eastern & Oriental Express
////////////////