เผยแพร่ |
---|
โมเสก (Mosaic) เป็นศิลปะการประดับตกแต่งพื้นผิววัสดุด้วยหินสี เศษกระเบื้องเคลือบ กระจก หรือก้อนแก้ว โดยจะฝังวัสดุเหล่านั้น สร้างสรรค์ขึ้นเป็นภาพวิจิตรศิลป์ลวดลายงดงาม เล่าเรื่องต่างๆ ส่วนใหญ่ใช้ตกแต่งผนังอาคาร เพดาน และพื้น
งานศิลปะโมเสกมีมาตั้งแต่ช่วง “ศิลปะยุคกลาง” ในโลกตะวันตก โดยเฉพาะในงานศิลปกรรมแบบไบแซนไทน์ที่ยิ่งใหญ่มาก หลังจากนั้น กรีกและโรมันได้นำมาประยุกต์ใช้ต่อในระดับสากล ปรากฏผลงานที่ยังหลงเหลืออยู่ให้ประจักษ์ในสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น โบสถ์ในนครเวนิส เป็นต้น เพราะศิลปินมักสร้างสรรค์งานอุทิศให้กับศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า โดยยุคนั้นนิยมตกแต่งกระเบื้องโมเสกเป็นจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตร
สำหรับทวีปเอเชีย ศิลปะโมเสกจะปรากฏให้เห็นมากในแถบประเทศตะวันออกกลางและอินเดีย โดยมีอิทธิพลมาจากศิลปะของแขกมัวร์ แต่ไม่ค่อยได้พบเห็นมากนักในจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทยนั้นงานศิลปะโมเสกเพิ่งเป็นที่รู้จักในยุคหลังนี่เอง ถือเป็นงานศิลปะที่ศิลปินสมัยใหม่ที่เรียนรู้และรับเอามาจากตะวันตกได้ไม่นานนัก
แต่แค่จุดเริ่มต้นก็ไม่ธรรมดาเลย เพราะถือเป็นการงานโมเสกที่อลังการงานสร้างที่ฝรั่งก็ยังต้องทึ่ง
อยากแนะนำให้รู้จักงานศิลปะโมเสกที่ออกแบบสร้างสรรค์โดย “พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส” หรือนามเดิมก่อนอุปสมบทคือ อำนาจ กลั่นประชา
งานศิลปะโมเสกอันสุดแสนอลังการในประเทศไทยนี้ปรากฏอยู่ที่ วัดพระธาตุผาแก้ว อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ สถานที่ปฏิบัติธรรมที่พระอาจารย์อำนาจไปบุกเบิกจัดสร้างขึ้นและจำพรรษาที่นั่นมาโดยตลอด ตั้งแต่อุปสมบทเมื่อปี 2547
พระอาจารย์อำนาจ เป็นศิลปินที่ศึกษาศิลปะด้วยตนเองมาตั้งแต่เด็กจนประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับโด่งดังไปทั่วโลก เคยจัดงานแสดงศิลปะทั้งในประเทศและต่างประเทศนับครั้งไม่ถ้วน มีบทบาทในระดับนานาชาติในด้านการส่งเสริมสันติภาพ และได้รับรางวัลเกียรติคุณมากมาย
แต่นั่นแทบไม่มีความหมายเลยเมื่อเทียบกับงานศิลปะที่ท่านได้ออกแบบสร้างสรรค์ให้กับพระธาตุผาแก้วที่ใครได้ไปเห็นจะต้องตื่นตะลึงไปกับความงดงามและปริศนาธรรมที่ได้ซ่อนไว้ในแต่ละภาพ เริ่มจากบันไดทางขึ้นจนกระทั่งถึงตัวเจดีย์ด้านบน และเสาวิหาร พื้น ผนัง ที่แปลกแตกต่างไปจากจิตรกรรมฝาผนังแนวประเพณีของไทยที่เราพบเห็นกันทั่วไปในโบสถ์วิหารทั่วราชอาณาจักร
งานศิลปะโมเสกนี้กลายเป็นจุดเด่นสะดุดตาสะดุดใจที่สุดของวัดพระธาตุผาแก้ว ต้องบอกว่า วัสดุที่ใช้ในการสร้างสรรค์ภาพโมเสกมีตั้งแต่อัญมณีเพชรพลอยเลอค่าที่ผู้ศรัทธาในพุทธศาสนา นำมาบริจาคฝังประดับลงไปบนพื้นผนังเพื่อเป็นอุบายบ่งบอกการสละแล้ว และไม่ติดยึดกับทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ นอกจากนั้นก็มีเครื่องเบญจรงค์ เครื่องประดับ ลูกปัด ลูกแก้ว กระเบื้องสี หินสีมากมาย ใช้ตกแต่งพื้นผิวพระธาตุ และพื้นโดยรอบ
สิ่งที่เสริมให้สถานที่แห่งนี้งดงามอลังการยิ่งนัก ก็คือภูมิทัศน์โดยรอบที่งามตระการตาด้วยธรรมชาติของทิวเขาใหญ่น้อยเรียงรายโอบล้อมอยู่รายรอบ เพราะจุดที่องค์พระธาตุตั้งอยู่สูงประมาณ 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล
การไปชมพระธาตุจึงสวยงามที่สุดในฤดูฝน ที่มีหมอกลอยอ้อยอิ่งอยู่ในป่าสีเขียว รอบอาณาบริเวณ ราวกับพระธาตุเจดีย์นั้นกำลังล่องลอยอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าก็มิปาน
……………
มีงานศิลปะโมเสกอีก 2 ชิ้นที่อยากนำมาเปรียบเทียบกันให้ดู เป็นงานที่ชาวต่างชาติหลงใหลได้ปลื้มว่าเป็นบันไดโมเสกสมัยใหม่ที่เปี่ยมล้นด้วยสีสันงดงามเสียเหลือเกิน
ชิ้นแรกคือ The Escadaria Selarón บันไดโมเสกที่ออกแบบโดย Jorge Selarón ศิลปินสัญชาติชิลี ที่มาอยู่อาศัยในบราซิล
บันไดแห่งนี้มีความสูง 125 ขั้น ตั้งอยู่ที่ระหว่างชุมชนชาวโบฮีเมียน 2 ชุมชนคือ ลาปา และ ซานตา เทเรซา ในนครรีโอเดจาเนโร ประดับด้วยโมเสกชิ้นเล็กๆ นับหมื่นนับแสนชิ้นที่ทำจากเศษกระเบื้องเซรามิก และ กระจก
Selarón เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก ก่อนจะมาปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองรีโอเดจาเนโร ในปี 2526 ว่ากันว่า ก่อนจะมาฝังตัวอยู่ในประเทศบราซิลอย่างถาวร ภาพเขียนของเขาขายไปได้กว่า 25,000 ภาพเลยทีเดียว
การสร้างสรรค์บันไดโมเสก สีสันสะดุดตานี้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ เนื่องจากในปี 2533 Selarón ต้องการซ่อมแซมบันไดชำรุดที่อยู่ติดกับตัวบ้านเขา ก็เลยหาเซรามิกสีสดๆ มาประดับให้เป็นลวดลายสนุกแค่บริเวณเล็กๆ แต่ต่อมาผู้คนให้ความสนใจมาก เขาก็เลยตัดสินใจซ่อมแซมบันไดทั้งหมดด้วยงานศิลปะโมเสกที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่จนสำเร็จทั้ง 125 ขั้น
Selarón หลงรักบราซิลจับจิตจับใจ เขาตั้งใจทำงานศิลปะชิ้นนี้อุทิศให้ชาวบราซิล โดยบรรจุข้อความลงบนส่วนหนึ่งของบันไดว่า “Brasil Eu Te Amo Selarón”-“Brazil I love you-Selarón”
งานบันไดโมเสกของ Selarón มีกลิ่นอายความเป็นบราซิลสูง เนื่องจากช่วงแรกเขาไปเลือกเฟ้นหากระเบื้องเซรามิกมาจากร้านขายของเก่ารอบๆ เมืองแถบนั้น และเที่ยวเก็บเศษกระเบื้องที่ชาวบ้านรื้อทิ้งเป็นขยะตามที่ต่างๆ มาผสมผสานกัน บวกกับกระเบื้องสีสันสวยงามจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลกกว่า 60 ประเทศที่ได้รับการบริจาคมาเมื่อมีผู้ชื่นชมอยากร่วมสนับสนุนการทำงานของเขา
Selarón รื้อซ่อมงานบันไดตลอดเวลา จุดไหนที่ไม่สวยเขาจะทุบแล้วทำใหม่ สุดท้ายบันไดสำเร็จสมบูรณ์ในปี 2543 และลงตัวด้วยโครงสีแดงเจิดจ้า ซึ่งเขาบอกทุกคนว่าเป็นสีแห่งความสุขและความมีชีวิตชีวา
แต่น่าเสียดายที่ศิลปินสิ้นชีวิตไปแล้วเมื่อปี 2556 นี่เอง มีคนพบศพเขาในบ้านติดกับบันไดงาม งานศิลปะชิ้นเอกที่เขาเพียรสร้างมายาวนานถึง 20 ปี
……………
บันไดโมเสกที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งคือ 16 Avenue Tiled Steps ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เป็นผลงานการสร้างสรรค์ร่วมกันของศิลปิน 2 คนคือ Aileen Barr และ Colette Crutcher
เป็นโครงการศิลปะโมเสกที่ศิลปินทั้งสองตั้งใจออกแบบขึ้นมาปรับปรุงบันไดเก่าที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2469 ซึ่งเริ่มเสื่อมสภาพ มีบริษัท KZ Tile ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกรายใหญ่ของซานฟรานซิสโก เป็นสปอนเซอร์หลัก เริ่มโครงการเมื่อปี 2547 นี่เอง
โดยศิลปินได้รับความร่วมมืออย่างดีจากชาวบ้านในชุมชนแถบนั้น มีผู้เสนอตัวเข้ามาช่วยสร้างลวดลายบนบันไดกว่า 300 คน ที่เหลืออีก 220 คน ต่างร่วมกันบริจาคกระเบื้องสวยงามต่างๆ โดยเฉพาะภาพสัตว์นานาชนิด จึงทำให้งานออกแบบก่อสร้างบันไดโมเสกแห่งนี้ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว และสำเร็จลงภายในเดือนสิงหาคม 2548 ใช้เวลาก่อสร้างเพียงปีเดียว
บันไดแห่งนี้มีความสูง 163 ขั้นและยาว 82 ฟุต จัดได้ว่าเป็นบันไดโมเสกที่ยาวที่สุดในโลกเวลานี้
……………
อยากให้ชมภาพความงามของศิลปะโมเสกทั้ง 3 แห่งที่สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นทุ่มเทของผู้สร้างสรรค์ศิลปะ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ผลตอบรับต่อชุมชนและสังคมนั้นเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล
ในระยะเวลา 1 ทศวรรษ ที่ผ่านความงดงามสงบวิเวกของวัดพระธาตุผาแก้ว ดึงดูดแรงศรัทธามหาชนให้หลั่งล้นไปทำบุญอุทิศถวายพระพุทธศาสนาอย่างมากมายท่วมท้น
The Escadaria Selarón บันไดโมเสกของ Jorge Selarón ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียง เชิญชวนให้คนทั่วโลกไปเยี่ยมชมให้ได้สักครั้งในชีวิต เช่นเดียวกับบันไดโมเสกที่ซานฟรานซิสโก ก็กลายเป็นสถานที่อันมีความหมายที่ผู้คนอยากไปสัมผัส
หนุ่มสาวนิยมไปบอกรักและขอแต่งงานกันที่ 16 Avenue Tiled Steps พอๆ กับ The Escadaria Selarón ส่วนวัดพระธาตุผาแก้วนั้นเหมาะที่สุดกับการไปปฏิบัติธรรม •