เผยแพร่ |
---|
เปิดที่มา “วันช้อปสุดเดือด” Black Friday VS Double Day ดีลลดราคาสุดคุ้ม เหล่าแบรนด์ผุดกลยุทธ์ชิงส่วนแบ่งการตลาด
ในโลกของนักช้อป Black Friday (แบล็กฟรายเดย์) และ Double Day เป็น 2 แคมเปญที่เป็นที่จับตามองอย่างมาก เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคจะได้พบกับส่วนลดและโปรโมชันที่ไม่ธรรมดา ทำให้ทั้ง 2 แคมเปญนี้กลายเป็นวันที่ดุเดือดที่สุดของนักล่าดีล!
Black Friday เทศกาลแห่งการช้อปสุดเดือด
Black Friday เทศกาลที่เหล่านักช้อปทั่วโลกรอคอย ด้วยส่วนลดสุดพิเศษจากร้านค้าหลากหลายประเภท ถือเป็นการช้อปปิ้งช่วงปลายปีที่มีทั้งสินค้าออนไลน์และออฟไลน์ลดราคาอย่างหนัก โดยในปีนี้ Black Friday ตรงกับวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567
ที่มาของคำว่า Black Friday
คำว่า “Black Friday” เริ่มต้นในฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในอดีตถูกใช้เพื่ออธิบายถึงการจราจรที่หนาแน่นและวุ่นวายในวันศุกร์หลังวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving)
อย่างไรก็ตาม ความหมายในปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่ยุคกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่งกลายมาเป็นคำเรียกเทศกาลช้อปปิ้งที่มีส่วนลดมหาศาล
ปัจจุบัน Black Friday ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐฯ แต่ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ผู้ประกอบการในหลายประเทศใช้โอกาสนี้เพื่อดึงดูดลูกค้าและกระตุ้นยอดขายช่วงเทศกาลวันหยุด โดยแคมเปญนี้เหมาะกับนักช้อปที่มองหาสินค้าชิ้นใหญ่และดีลเดือดในหมวดอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าแบรนด์ระดับพรีเมียม
Double Day โปรวันคู่ที่มาแรงในเอเชีย
จุดเริ่มต้นมาจากกลยุทธ์ทางการตลาดของอีคอมเมิร์ซในประเทศจีน ซึ่งใช้วันที่ 11 พฤศจิกายน หรือ “11.11” เป็นวันแห่งการช้อปปิ้งครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
ต่อมาแคมเปญนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และพัฒนาเป็น “โปรวันคู่” ที่เกิดขึ้นทุกเดือน เช่น 1.1, 2.2, 3.3 จนถึง 12.12
โดยแคมเปญ Double Day ในประเทศไทย ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะเหล่านักช้อปที่ชื่นชอบสินค้าราคาเข้าถึงง่าย ทำให้แต่ละแบรนด์และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างใช้แคมเปญนี้เพื่อดึงดูดลูกค้า อีกทั้งยังนิยมใช้การ Live Streaming เพื่อกระตุ้นยอดขาย จนกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด
Black Friday VS Double Day ใครเป็นที่สุดของนักช้อป?
ทั้ง 2 แคมเปญมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน ซึ่ง Black Friday จะโด่งดังในระดับสากลด้วยดีลลดราคาที่มุ่งเป้าไปยังช่วงปลายปี
ส่วน Double Day นั้นมาแรงในแถบเอเชียด้วยโปรโมชันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
มองกลยุทธ์ที่แบรนด์ใช้ในการช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดที่ทำให้ 11.11 และ Black Friday ประสบความสำเร็จ
โปรโมชันลดราคา เป็นกลยุทธ์ที่เห็นผลที่สุด โดยแบรนด์จะนำเสนอส่วนลดที่สูงมาก เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ
ออกผลิตภัณฑ์สินค้าพิเศษ การเปิดตัวสินค้าใหม่หรือเพิ่มสินค้า Limited edition สร้างความตื่นเต้นและกระตุ้นยอดขาย จึงดูเป็นจังหวะที่ดีในการสร้างความรับรู้ให้แก่กลุ่มลูกค้าในช่วงเวลานี้
โปรโมชัน Flash Sale, ซื้อ 1 แถม 1 หรือลดราคาเพิ่มเมื่อซื้อครบตามจำนวน
ซึ่งจากข้อมูลการช้อปปิ้งในปี 2566 ที่ผ่านมายอดการจับจ่ายซื้อของในวัน Black Friday (แบล็กฟรายเดย์) โตขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับปี 2565 สามารถสร้างรายได้ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.15 แสนล้านบาท) สำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ในสหรัฐอเมริกา หมวดหมู่ที่ขายดีที่สุด ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า และของตกแต่งบ้าน
ส่วนอัตราการใช้จ่ายในวัน Double Day เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา จากข้อมูลพบว่า เทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจีน สร้างยอดขายรวมมากกว่า 84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 29.4 แสนล้านบาท) ภายใน 24 ชั่วโมง โดย 50% ของยอดขายมาจากหมวดสินค้าไลฟ์สไตล์และความงาม
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะ Black Friday หรือ Double Day ทั้งสองแคมเปญนี้ต่างมอบโปรโมชันสุดปังให้กับผู้บริโภคได้เลือกช้อปในราคาที่ประหยัด คุ้มค่า แต่ในอีกด้าน ก็ทำให้เกิดความท้าทายของแบรนด์เอง ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น มีแบรนด์จำนวนมากที่เข้าร่วมในเทศกาลเหล่านี้ และทำให้ความคาดหวังของผู้บริโภคเกี่ยวกับดีลและโปรโมชัน
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- เจาะลึกพฤติกรรมนักช้อป และกลยุทธ์สร้างแคมเปญบน TikTok ช่วงลดราคาครั้งใหญ่
- พิมรี่พาย ไลฟ์ขายกล่องสุ่มเครื่องสำอาง 10 นาที ทำยอดกว่า 100 ล้านบาท