เกษตรกรอินทรีย์สุรินทร์ ภูมิใจ รายได้ไม่มาก แต่ได้ส่งต่อผักปลอดภัยถึงมือผู้บริโภค

เกษตรกรอินทรีย์สุรินทร์ ภูมิใจ รายได้ไม่มาก แต่ได้ส่งต่อผักปลอดภัยถึงมือผู้บริโภค

“การทำเกษตรอินทรีย์ เป็นการผลิตอาหารที่ปลอดภัยจากพื้นที่ที่สภาพแวดล้อมดี ทั้งดิน น้ำ ปุ๋ย และอากาศที่สะอาด ซึ่งพื้นที่การเกษตรของเรามีความสมบูรณ์ครบทุกด้าน เพราะไม่ได้ใช้สารเคมีเลย พืชผักที่ส่งไปยังผู้บริโภคจึงมีคุณภาพ และดีต่อสุขภาพแน่นอน”

คือคำบอกเล่าจาก คุณทองม้วน พวงจันทร์ รองประธานกลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านโนนงิ้ว ตำบลหนองสนิท อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ หนึ่งในเกษตรกรตัวอย่าง ที่ทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ ที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคมากกว่ารายได้

ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิท อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ ที่ต้องการให้นักเรียนในพื้นที่ได้บริโภคอาหารกลางวันจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ซึ่งนอกจากเนื้อสัตว์ที่ต้องสะอาดแล้ว พืชผักที่นำมาประกอบอาหารก็ควรปลอดภัย ไร้สารเคมีเช่นกัน จึงจัดทำ ‘โครงการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรในการเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานผลผลิตทางการเกษตร’ ขึ้น โดยทุนพัฒนาอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน กสศ. โดยมีคุณทองม้วน เกษตรกรอินทรีย์ต้นแบบ เข้าร่วมโครงการด้วย

“เห็นว่าเป็นการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพให้คนในชุมชน ทำให้มีรายได้ ไม่ว่างงาน อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกร และคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรด้วย” คุณทองม้วน บอกเหตุผล

คุณทองม้วน พวงจันทร์ รองประธานกลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านโนนงิ้ว ตำบลหนองสนิท อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

คุณทองม้วน เล่าต่อว่า ทำเกษตรอินทรีย์ตั้งแต่ปี 2550 ก่อนหน้านี้เป็นแกนนำกลุ่มเกษตรอินทรีย์ในชุมชน เมื่อหมดฤดูปลูกข้าวก็ชักชวนเกษตรกรในชุมชนที่สนใจลงมือปลูกพืชล้างนา ด้วยการปลูกผักอินทรีย์เพื่อสร้างรายได้ ตั้งใจมาตลอดว่าอยากจะรวมกลุ่มเพื่อให้การทำเกษตรอินทรีย์ยั่งยืน ดีใจที่มีโครงการนี้เข้ามาในชุมชนเพราะช่วยให้การทำเกษตรอินทรีย์ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยมีการให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ให้กับปราชญ์ชาวบ้านที่มีความสนใจ และมีความรู้เรื่องเกษตรปลอดภัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งเธอเองก็เป็นทั้งผู้เข้าร่วมโครงการ และเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่ให้ความรู้กับคนในชุมชนด้วย

โดยกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการจะมี 10 หมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านจะมีปราชญ์ชาวบ้านหมู่ละ 1 คน คอยเข้าไปชวนกลุ่มเป้าหมายพูดคุย แลกเปลี่ยนทัศนคติ และถ่ายทอดความรู้ให้กับชาวบ้าน เช่น ก่อนเริ่มเพาะปลูกก็จะสอบถามว่า ต้องการปลูกพืชอะไรบ้าง ใครถนัดด้านใด ดูความต้องการของชาวบ้านเป็นตัวตั้ง แล้วหลังจากนั้นก็แบ่งกลุ่มทำเกษตรอินทรีย์ ให้กับสมาชิกทั้ง 80 คน โดยจัดสรรแบ่งพื้นที่เพาะปลูกส่วนกลางของกลุ่ม 9 ไร่ ให้กับสมาชิก 36 คน ส่วนสมาชิกกลุ่ม 44 คนใช้พื้นที่เพาะปลูกของตัวเอง

สำหรับการเพาะปลูก สมาชิกจะปลูกผักตามตารางที่กำหนด ซึ่งแต่ละกลุ่มจะปลูกไม่ซ้ำกัน เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดเมนูอาหารกลางวันของโรงเรียนในชุมชน และหมุนเวียนตามความต้องการของตลาดภายนอกด้วย โดยกลุ่มเกษตรอินทรีย์ที่ใช้พื้นที่เพาะปลูกส่วนกลางทั้ง 36 คน จะแบ่งเป็น 6 กลุ่มย่อย เพื่อปลูกผักแต่ละชนิดตามช่วงวันที่กำหนด อย่างเช่น ผักชี ต้นหอม โหระพา ผักบุ้ง คะน้า กวางตุ้ง จะต้องปลูกทุกวันที่ 5, 10 และ 15 ตามลำดับ

ในส่วนของคุณทองม้วน จะปลูกผักอินทรีย์ในพื้นที่เพาะปลูกของตัวเอง ผักที่ปลูกจะมีทั้งฟักทอง ฟักเขียว มันเทศ แตงโม และผักสลัดเป็นหลัก แต่ช่วงนี้จะปลูกผักกาดแก้ว ฟักทอง และแตงไทย เมื่อได้พืชผักตามต้องการจึงจัดส่งไปยังพื้นที่ส่วนกลางของกลุ่มเพื่อดำเนินการจัดส่งไปยังโรงเรียนในชุมชนเพื่อประกอบอาหารกลางวันต่อไป ส่วนตลาดภายนอกก็จะส่งให้กับห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และวางขายที่หน้าแปลงผักด้วย ทำให้เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยวันละ 400-600 บาท

“แต่ก่อนชาวบ้านนิยมปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น อ้อย มันสำปะหลัง เพาะปลูกขายแต่ละครั้งจะได้เงินเยอะ แต่เงินก็หมดไปกับการใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนการปลูก เมื่อเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์ถึงแม้จะไม่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ก็มีรายได้ทุกวัน ต้นทุนในการเพาะปลูกลดลง เพราะไม่ได้ใช้สารเคมี ผักที่ปลูกขายก็บริโภคเอง รายจ่ายในครัวเรือนก็ลดลงตามไปด้วย ถึงรายได้จะเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยแต่ชาวบ้านกลับภูมิใจ และกระตือรือร้นในการทำเกษตรอินทรีย์มากขึ้น เชื่อว่าการทำเกษตรอินทรีย์จะเป็นการสร้างรายได้ สร้างอาชีพและสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับคนในชุมชนหนองสนิท และเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่ออาหารปลอดภัยไปยังผู้บริโภคอีกด้วย” คุณทองม้วน บอกอย่างนั้น

ปัจจุบันโครงการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรในการเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานผลผลิตทางการเกษตร โดย อบต.หนองสนิท อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดสหกรณ์การเกษตรพืชผักอินทรีย์หนองสนิท จำกัด ที่บริหารจัดการโดยกลุ่มเป้าหมายในโครงการ ส่งผลผลิตผักอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ออร์แกนิกไทยแลนด์ระยะปรับเปลี่ยนของกรมวิชาการเกษตร ออกจำหน่ายให้แก่คนในชุมชนหน้าแปลงปลูกทุกวัน สร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชน ทั้งยังส่งผักให้โรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กทุกแห่งในตำบลหนองสนิท ส่งให้โรงพยาบาลจอมพระใช้ประกอบอาหารให้ผู้ป่วย ส่งให้ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต โรบินสันสุรินทร์ และยังมีธนาคารผักอินทรีย์หนองสนิทดีลิเวอรี่ ส่งผู้บริโภคในตำบลอีกด้วย